tag:blogger.com,1999:blog-56332350773981283792024-03-12T19:04:11.179-07:00ดอกเหงื่อ เพื่อแผ่นดิน(copy)Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.comBlogger190125tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-79378709114647473242010-03-01T07:38:00.000-08:002010-03-01T07:38:44.295-08:00วิธีการทำปุ๋ยบำรุงนาข้าว<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td style="text-align: justify;"><table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td style="text-align: justify;"><table bgcolor="#fcfcfc" border="0" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td> นา(1)วิธีการทำปุ๋ยบำรุงนาข้าวใช้ปุ๋ยคอกแห้ง ,เปลือกถั่วลิสง,แกลบดิบ<br />
นา(2)รำอ่อนอย่างละ1ส่วนรดด้วยน้ำหมักเศษปลาพอเปียกหมัก21วันใช้ 400กก./ไร่<br />
</td> </tr>
</tbody></table><br />
<div class="mark"><br />
คุณบุญเรือง ราชภักดี เกษตรกรบ้านหมูม่น ต.หมู ม่น อ.เมือง อุดรธานี .. จากที่ได้ทำงานสืบต่อจากคุณพ่อที่ทำงานด้านการรับ สร้างโรงสีในจังหวัดอุดรธานีมาตลอด และเป็นวิศวะกรเป็นที่รู้จักในวงการเจ้า ของโรงสี แต่ช่วงหลังๆสังเกตเห็นภรรยาสุขภาพไม่ดี และได้ตรวจพบสารเคมีจึง เข้าใจว่าพืชผัก และข้าวที่เราซื้อทานเป็นสาเหตุทำลายสุขภาพ จึงหันมาสนใจ การทำ การเกษตรแบบอินทรีย์ จนประสบความสำเร็จ และได้แนะนำเทคนิคการปลูกข้าว หอมนิลอินทรีย์เพิ่มผลผลิต ด้วยวิธีการดังนี้ <br />
</div><br />
<hr /><br />
</td> </tr>
<tr> <td align="center"><!-- < 634 --> <a href="http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/878_1.jpg" linkindex="37" target="_blank"><img border="0" src="http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/878_1.jpg" /></a> </td> </tr>
<tr> <td style="text-align: justify;" valign="top"> <div class="css"><br />
<span style="color: red;"> <b> การทำปุ๋ยปรับปรุงดิน </b> </span><br />
<span style="color: green;"> <a name='more'></a>1.ปุ๋ยคอกตากแห้ง 1 ส่วน<br />
2.เปลือกถั่วลิสง 1 ส่วน<br />
3.แกลบดิบ 1 ส่วน <br />
4.รำอ่อน 1 ส่วน<br />
5.น้ำหมักชีวภาพ (เศษปลา 30 กก. กากน้ำตาล 10 กิโล พด.2 1 ซอง หมัก 30 วัน) <br />
<span style="color: red;"> <b> วิธีการทำ </b> </span> <br />
นำส่วนผสมทั้งหมดมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน ราดรดด้วยน้ำหมักชีวภาพ หมักทิ้งไว้ 21 วัน สามารถนำไปใช้ได้ <br />
<span style="color: red;"> <b> อัตราการใช้ </b> </span> <br />
นำไปใช้ปรับปรุงดินใหม่ 400 กิโลกรัม ต่อ 1 ไร่ ถ้าดินสมบูรณ์ดีแล้วก็ลดปริมาณปุ๋ยลงเป็น 200 กิโลกรัม ต่อ 1 ไร่การเตรียมดินสำหรับรอลงปักดำกล้าข้าวหอมนิลอินทรีย์ <br />
<span style="color: red;"> <b> ขั้นตอนการทำ </b> </span><br />
นำปุ๋ยหมักลงหว่านให้ทั่วแปลงนา และเติมหัวเชื้อจุลินทรีย์หรือน้ำหมักลงไปและทำการพักดินไว้ประมาณ 1 เดือน หลังจากการปรับปรุงดินหว่านปุ๋ยแล้ว ให้ตามขั้นตอนดังนี้<br />
1.ให้ทำการเกลี่ยดินให้เสมอก่อนการลงปักดำ เวลาปล่อยน้ำระดับน้ำต่อต้นกล้าจะมีความลึกเสมอกัน<br />
2.วางระยะการปักดำแต่ละจุดจะเป็น 30 x 35 เซนติเมตร <br />
3.และทุก 35 เซนติเมตรให้ทำการมัดปมเชือกไว้เพื่อให้ระยะไม่แตกต่างกัน และเพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศได้ดี <br />
4.พื้นที่ใน 1 ช่วงจะปักกล้าได้ 20 แถว และให้มีระยะห่างในแถวถัดไปอยู่ที่ 60 เซนติเมตร เพื่อเว้นไว้เป็นช่องเดินให้สามารถหว่านปุ๋ยได้ การปลูกข้าวลักษณะนี้มักไม่เกิดโรคแมลง ผลผลิตประมาณ 600-800 กก./ไร่ <br />
<br />
<br />
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครราชสีมา ( idf 1125 )</span></div><span style="color: green;"><br />
</span></td></tr>
</tbody></table></td> </tr>
<tr> <td align="center"><br />
</td> </tr>
<tr> <td style="text-align: justify;" valign="top"><br />
</td></tr>
</tbody></table>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-16241453889367525352010-03-01T07:36:00.000-08:002010-03-01T07:36:23.661-08:00การเพาะผักหวานป่าโดยใช้รากฝอย<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td style="text-align: justify;"><table bgcolor="#fcfcfc" border="0" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td>ผักหวานป่า(1)การเพาะโดยใช้รากฝอยเลือกรากแข็ง แรงตัดยาว30ซม.ทาปูนกินหมาก<br />
ผักหวานป่า(2)หัว/ท้ายแผลที่ตัดนำด้านท้ายปักลงถุงเพาะลึก25ซม.ดูแล ตามปกติ<br />
</td> </tr>
</tbody></table><br />
<div class="mark">นอก จากคุณสุพรรณจะมีความเชี่ยวชาญเรื่องไผ่แล้ว ยังมีภูมิปัญญาชาวบ้านเรื่อง การเพาะขยายพันธุ์ผักหวานป่าด้วย โดยได้เล่าถึงอดีตว่าได้เคยไปศึกษาข้อมูล เรื่องการเกษตร ที่จังหวัดชัยนาท และได้เจอกับปราชญ์ชาวบ้านท่านหนึ่งซึ่ง ได้ให้ความรู้เรื่องการเพาะผักหวานป่าโดยใช้รากฝอย คุณสุพรรณจึงได้บอกถึง วิธีการเพาะพันธุ์ผักหวานป่าแบบภูมิปัญญาชาวบ้านมาเผยแพร่กันด้วยครับ</div><br />
<hr /><br />
</td> </tr>
<tr> <td align="center"><!-- < 634 --> <a href="http://www.rakbankerd.com/kaset/Plant/1620_1.jpg" linkindex="60" target="_blank"><img border="0" src="http://www.rakbankerd.com/kaset/Plant/1620_1.jpg" /></a> </td> </tr>
<tr> <td style="text-align: justify;" valign="top"> <div class="css"><b> วิธีการเพาะผักหวานป่าโดยใช้รากฝอย </b><br />
<a name='more'></a><br />
<b> <span style="color: magenta;"> วัสดุอุปกรณ์ </span></b><span style="color: magenta;"> </span><br />
1.รากฝอยผักหวานป่า<br />
2.มีด<br />
3.ปูนแดงกินหมาก<br />
4.ถุงเพาะ<br />
5.ดินดีสำหรับเพาะ<br />
<br />
<b> <span style="color: blue;"> ขั้นตอนการเพาะ </span></b><span style="color: blue;"> </span><br />
1.ทำการตัดรากฝอยผักหวานป่าจากต้นแม่ ที่มีความแข็งแรงด้วยมีด โดยรากฝอยที่ตัดให้มีความยาว 30 เซนติเมตรและมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 2 เซนติเมตร<br />
2.หลังจากนั้นจึงนำปูนแดงกินหมาก มาทาบริเวนด้านหัวและท้ายหรือบริเวณแผลที่มีการตัด เพื่อ<br />
ป้องกันการเกิดเชื้อรา<br />
3.นำดินดีสำหรับเพาะมาใส่ถุงเพาะชำ จากนั้นจึงนำรากฝอยผักหวานมาปักลง โดยใช้ด้านท้ายปักลงในถุงเพาะ 25 เซนติเมตร และให้ส่วนปลายโผล่ออกมา 5 เซนติเมตร <br />
4.หลังจากนั้นจึงดูแลตามปกติ คือรดน้ำวันละครั้งหรือหากยังชื้นอยู่ก็ยังไม่ต้องรด<br />
5.ให้สังเกตดูว่าหากรากผักหวานป่าเริ่มแตกกิ่งจึงนำไปปลูกและดูแลตามปกติต่อ ไป<br />
<br />
<br />
<b> ที่มา </b>:<span style="color: #ff6600;"> ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกันจ.ชัยนาท(IDF2885) </span></div></td></tr>
</tbody></table>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-30381485446474941022010-02-25T22:41:00.000-08:002010-02-25T22:41:46.583-08:00การเลี้ยงปลาในนาข้าว<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4uwYsYbScgAYJEXbSssFXMmRA-sLL9bRScYAz_w5lMqlcDz-fTZW4fUf0JHuVVG8VUiZsNOnumOSDlmDX1PPPCpcGgTyYUcDlAUkd2d854n-iIKsrMVv0JeL8NWx7OIif3PR83Zkm314/s1600-h/fr.jpg" imageanchor="1" linkindex="58" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" height="202" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh4uwYsYbScgAYJEXbSssFXMmRA-sLL9bRScYAz_w5lMqlcDz-fTZW4fUf0JHuVVG8VUiZsNOnumOSDlmDX1PPPCpcGgTyYUcDlAUkd2d854n-iIKsrMVv0JeL8NWx7OIif3PR83Zkm314/s320/fr.jpg" width="320" /></a></div><br />
<dd>ข้าว(1)การทำนาที่ลงตัวได้ประโยชน์เกินคุ้ม ทวีกำไรมากมาย</dd><dd>ข้าว(2)การเลี้ยงปลาและสัตว์น้ำในนาข้าว สนใจข้อมูลโทร * 1677 กด 2<br />
<br />
<br />
<br />
เทคนิคการเลี้ยงปลาในนาข้าว เป็นการประหยัดพื้นที่และต้นทุนทั้ง อาหารปลาและปุ๋ยนาข้าว คุณตวงทิพย์เกษตรกรผู้เชี่ยวชาญเรื่องการเกษตรแบบพอ เพียงเจ้าของสูตรนี้ ได้เล่าให้ฟังว่าเป็นการประกอบอาชีพแบบพอเพียง จริงๆ เพราะประหยัดต้นทุนทั้งอาหารปลาและปุ๋ยในนาข้าวพื้นที่บนคันนายัง สามารถสร้างรายได้ด้วยการปลูกพืชผักกินใบได้อีกด้วย ส่วนนาที่จะทำการ เลี้ยงปลาได้นั้นต้องเป็นนาดำและใช้พันธุ์สูง เพราะจะมีพื้นที่บางส่วนที่ เป็นที่ลุ่มที่ลึก ในการเลี้ยงปลาหรือให้ปลาได้อยู่อาศัยได้ <br />
<br />
เทคนิคการเลี้ยงปลาในนาข้าว<br />
<br />
<a name='more'></a><br />
1. กล้าข้าว<br />
2. กุ้งกุลาดำ 5 กิโลกรัม<br />
3. ปลานิล(ตัวเท่าใบมะขาม) 500 ตัว<br />
4. ปลาตะเพียน(ตัวเท่าใบมะขาม) 500 ตัว<br />
5. มูลสัตว์ 10 กระสอบ<br />
วิธีการ<br />
หลังจากที่เตรียมพื้นที่ในการทำนาเรียบร้อยแล้ว ก่อนที่จะดำนาให้หว่านด้วยมูลสัตว์ประมาณ 10 กระสอบ/ไร่ เพราะมูลสัตว์จะทำให้เกิดแพลงตอน และตัวไรแดง ไรขาว ซึ่งเป็นอาหารของปลา จากนั้นปล่อยทิ้งไว้เฉย ๆ แล้วประมาณ 7 วัน จึงดำนาได้ พอดำนาเสร็จให้ปล่อยกุ้งลงไป ประมาณ 5 กิโลกรัม ขนาดของกุ้งที่ปล่อยนั้นควรเป็นพันธุ์กุ้งที่มีขนาด 100-200 ตัว/กิโลกรัม หลังจากนั้นอีก 7 วันสามารถปล่อยปลาลงไปเลี้ยงได้ อายุของปลาเท่ากับอายุของข้าว เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็ให้ปล่อยน้ำออกเล็กน้อยจากนั้นก็เก็บเกี่ยวข้าว แล้วสามารถนำปลาจับปลามาทานหรือจำหน่ายได้ แต่หากจะเลี้ยงต่อก็ควรปล่อยน้ำเข้าอีกเล็กน้อย สามารถเลี้ยงต่อไปได้ตามใจของผู้เลี้ยงได้ ผลผลิตข้าวนั้นได้ประมาณ 80 ถัง/ไร่ ส่วนบนคันนานั้นก็ปลูกผักประเภท กระเพรา โหระพา หรือผักสวนครัวอื่น ๆ ไว้เก็บทานและจำหน่ายได้<br />
ประโยชน์<br />
1. สามารถประหยัดพื้นที่ เพราะยึดการทำนาข้าวแบบ 4 in 1 เพราะได้ทั้งข้าว ทั้งกุ้ง ปลา และผักสวนครัวบนคันนาด้วย<br />
2. ประหยัดอาหารของปลาและกุ้ง เพราะมูลสัตว์ที่หว่านลงไปในนานั้นจะทำให้เกิดแพลงตอน ตัวไรแดง ไรขาว ที่เป็นอาหารของปลา<br />
3. ประหยัดค่าปุ๋ยของข้าว เพราะมูลสัตว์สามารถเป็นปุ๋ยของนาข้าวได้ รวมถึง EM ที่สาดลงไปเพื่อบำบัดน้ำเสียก็สามารถปรับสภาพและเป็นปุ๋ยบำรุงต้นข้าวได้<br />
<br />
***หมายเหตุ ช่วงระหว่างการเลี้ยงกุ้งเลี้ยงปลา สังเกตดูว่า ถ้าน้ำเสียให้ใช้ EM สาดลงไปในนาข้าว เพื่อปรับสภาพน้ำให้น้ำไม่เสีย<br />
<br />
<br />
<br />
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ชัยนาท ( idf 4351 )<br />
<br />
<br />
</dd>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-54368063571091553482010-02-25T22:35:00.000-08:002010-02-25T22:35:32.011-08:00ซุปเปอร์สมุนไพรกำจัดเพลี้ยในนาข้าว<table align="center" bgcolor="#ffffff" border="0" cellpadding="2" cellspacing="2" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td style="text-align: justify;"><table bgcolor="#fcfcfc" border="0" style="width: 770px;"><tbody>
<tr><td>ข้าว(1)ซุปเปอร์สมุนไพรกำจัดเพลี้ยในนาข้าว สูตรฉีดแล้วตัวเพลี้ยร่วงหล่น<br />
ข้าว(2)ใช้พืชสมุนไพรเช่นหัวกลอย,ต้นสบู่ดำเป็นหลักสนใจโทร * 1677 กด2<br />
</td> </tr>
</tbody></table><br />
<div class="mark"><br />
ปัญหาเกษตรหลายท่านที่ทำการเกษตรแบบปลอดสารมักจะประสบปัญหาเรื่องผัก ไม่สวย หรือทำนาข้าวแล้วมักจะประสบปัญหาเรื่องเพลี้ยต่างๆที่ก่อให้เกิดความ เสียหายทำให้เกษตรกรมีต้นทุนสูงขึ้นในการชื้อสารเคมีมาฉีดพ่นในพื้นที่เพื่อ ป้องกัน คุณพ่อสิงห์ทอง นาชัย เกษตรกรที่มีองค์ความรู้เกี่ยวกับการใช้พืช สมุนไพร ได้คิดค้นสูตรในการกำจัดเพลี้ยและป้องกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดย เฉพาะสูตรฉีดเพลี้ยแล้วร่วง ใช้ในพื้นที่จนเป็นที่ยอมรับของเกษตรกรใน ชุมชน ซึ่งมีสมุนไพรที่นำมาหมักดังนี้<br />
</div><br />
<hr /><br />
</td> </tr>
<tr> <td align="center"><!-- < 634 --> <a href="http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/877_1.jpg" linkindex="4" target="_blank"><img border="0" src="http://www.rakbankerd.com/kaset/Rice/877_1.jpg" /></a> </td> </tr>
<tr> <td style="text-align: justify;" valign="top"> <div class="css"> <br />
<span style="color: red;"> <b> วัตถุดิบ </b> </span><br />
<span style="color: green;"><a name='more'></a> </span></div><div class="css"><span style="color: green;">1.หัวกลอยแก่ 7 กก.<br />
2.ลำต้นสบู่ดำ 2 กก.<br />
3.เมล็ดสะเดาแห้งบด 2 กก.<br />
4.กากน้ำตาล 2 กก.<br />
5.น้ำเปล่า 100 ลิตร<br />
6.ถังหมักขนาด 150-200 ลิตร<br />
<span style="color: red;"> <b> ขั้นตอนการทำ </b> </span><br />
นำหัวกลอยแก่มาหั่นเป็นชิ้นๆ นำลำต้นสบู่ดำมาผ่าครึ่งลำ หลังจากนั้นนำเมล็ดสะเดาแห้งมาบดให้ละเอียด นำวัตถุดิบที่เตรียมไว้ใส่ลงในถังหมัก แล้วเติมกากน้ำตาลและน้ำเปล่า 100 ลิตรตามลงไป คนให้เข้ากันปิดฝาถังหมักทิ้งไว้ 3 -7 วัน ก็สามารถนำไปใช้ได้<br />
<span style="color: red;"> <b> อัตราส่วนในการนำไปใช้ </b> </span><br />
กรองเอาน้ำหมักจากพืชสมุนไพรที่เข้มข้น (สูตรฉีดแล้วร่วง) จำนวน 20 ลิตร นำไปฉีดในนาข้าวโดยไม่ต้องละลายกับน้ำเปล่าอีก นำไปฉีดพ่นในนาข้าวถ้าฉีดโดนตัวจะร่วงไม่เกิน 5 นาที ปัญหาเพลี้ยจะหมดไปภายใน2-3 วัน ถ้าจะฉีดเพื่อป้องกันให้นำน้ำหมักจำนวน 16 ลิตร ผสมกับน้ำเปล่า 4 ลิตร ฉีดพ่นในแปลงนาเพื่อป้องกันเพลี้ยชนิดต่างๆได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
<br />
<br />
<br />
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ขอนแก่น ( idf 2204 )</span></div></td></tr>
</tbody></table>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-19339902443263119792010-02-25T18:45:00.000-08:002010-02-25T18:45:16.590-08:00วิธีกำจัดหอยเชอรีในนาข้าวข้าว(1)วิธีกำจัดหอยเชอรีในนาข้าวโดยใช้ปลายข้าวหว่านให้ทั่วแปลงนา<br />
ข้าว(2)หลังจากที่หอยเชอรีกินปลายข้าวเข้าไปจะทำให้ย่อยไม่ได้ท้องอืดตาย<br />
<br />
เคล็ดลับในการกำจัดหอยเชอรี่ด้วยวิธีการง่ายๆ ที่เป็นปัญหาของเกษตรกรชาวนาในเกือบทุกพื้นที่ และบางรายยังไม่สามารถหาวิธีกำจัดได้ แต่ว่าคุณธนกิจสามารถกำจัดด้วยวิธีการเบื้องต้นที่เกษตรกรหลายๆท่านอาจคิดไม่ถึง วิธีการนี้เป็นวิธีการที่ไม่สลับซับซ้อนและเป็นวิธีการง่ายซึ่งมีวิธีการดังนี้ <br />
<br />
<div class="separator" style="border-bottom: medium none; border-left: medium none; border-right: medium none; border-top: medium none; clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj64KY-dtWga1yp1vkdFr-4CHiTzk7gIekYmsUP4prfxaYTOkJmVLgmb1mzFgm5GJ277E2TtYX_Kx1LeOUi3722C3V0RilpJGqa65uDfcYYeKVs7sQ53gR5AofLjR7_N_pHXHG6h_ICBWs/s1600-h/fr.jpg" imageanchor="1" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" kt="true" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj64KY-dtWga1yp1vkdFr-4CHiTzk7gIekYmsUP4prfxaYTOkJmVLgmb1mzFgm5GJ277E2TtYX_Kx1LeOUi3722C3V0RilpJGqa65uDfcYYeKVs7sQ53gR5AofLjR7_N_pHXHG6h_ICBWs/s320/fr.jpg" /></a></div>วิธีทำ <br />
<a name='more'></a><br />
ด้วยการใช้ปลายข้าวมาเป็นตัวช่วยในการกำจัดโดยการใช้ปลายข้าวมาหว่านให้ทั่วแปลงนา ในอัตราส่วน 1-1.5 กก./ไร่ จะช่วยฆ่าหอยเชอรี่ได้ เนื่องจากหอยเชอรี่เป็นสัตว์ที่มีน้ำย่อยที่สามารถย่อยได้เฉพาะพืชสีเขียวเท่านั้นเมื่อหอยเชอรี่กินปลายข้าวซึ่งเป็นแป้งเข้าไปก็จะส่งผลให้หอยเชอรี่มีอาการท้องอืด และไม่สามารถหาอาหารกินต่อไปได้และตายในที่สุด และวิธีนี้เป็นวิธีที่ไม่ทำลายระบบนิเวศให้เสื่อมโทรมด้วย <br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />
<br />
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ชัยนาท ( idf 2403 )Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-31206459807105040522010-02-17T17:10:00.000-08:002010-02-17T17:10:24.349-08:00การเพาะเห็ดฟางจากขี้เลื่อยก้อนเชื้อเห็ดเก่า<dd>เห็ดฟาง(1)ด.ต.สมพงษ์ ดีอาสา เกษตรกรผู้เพาะเห็ด จ.นครนายยก ได้แนะนำ</dd><dd>เห็ดฟาง(2)วิธีการเพาะจากขี้เลื่อยก้อนเชื้อเห็ดเก่าศึกษาการทำโทร*1677กด2<br />
<br />
<br />
การ เพาะเห็ดฟางจากขี้เลื่อยก้อนเชื้อเห็ดเก่า ถือว่าเป็นอีกวิธีหนึ่งที่ สามารถลดต้นทุนในการเพาะเห็ดฟางได้เป็นอย่างดี จากการที่เกษตรกร ผู้เพาะ เห็ดหลายท่าน ที่ทำการเพาะเห็ดจากขี้เลื่อยหลังจากที่ทำการเก็บเกี่ยวผล ผลิตเรียบร้อยแล้ว หลายท่าน อยากจะนำก้อนเห็ดเก่า ไปใช้ประโยชน์ ต่อ ซึ่งบางท่าน อาจจะนำไปเป็นปุ๋ยหมักชีวภาพ หรือบางท่าน อาจจะนำไปทำ อย่างอื่น แต่ในส่วนของด.ต.สมพงษ์ ดีอาสา เกษตรกรผู้โดดเด่นในด้านการ เพาะเห็ดฟาง จังหวัดนครนายก นั้น ได้นำก้อนเชื้อเห็ดเก่าไปใช้ประโยชน์ โดยการนำไปทำการเพาะเห็ดฟางในตะกร้า เพื่อเป็นการลดต้นทุน และนำสิ่งที่มี อยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ ด้วยวิธีการและรายละเอียดดังนี้ <br />
<br />
<div class="separator" style="clear: both; text-align: center;"><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMHScGMcsBCyLYeZ-ZRXWlmg9S9ap5D7DLg0rnQ3D9hEspsL9uMgiLgAlA6P6Tz0xeq75yHS_R7jVDYYPp5S8QZo9UKwTguZVEGkBPZGWjx_YyTwTk6-8RIgmbCHeYLld8ckODs2HLeAU/s1600-h/fr.jpg" imageanchor="1" linkindex="16" style="margin-left: 1em; margin-right: 1em;"><img border="0" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjMHScGMcsBCyLYeZ-ZRXWlmg9S9ap5D7DLg0rnQ3D9hEspsL9uMgiLgAlA6P6Tz0xeq75yHS_R7jVDYYPp5S8QZo9UKwTguZVEGkBPZGWjx_YyTwTk6-8RIgmbCHeYLld8ckODs2HLeAU/s1600/fr.jpg" /></a></div><br />
วัสดุอุปกรณ์<br />
<span class="fullpost"><br />
1. เชื้อเห็ดฟาง<br />
<br />
2. อาหารเสริมเห็ดฟางสำเร็จรูป<br />
<br />
3. แป้งข้าวสาลี<br />
<br />
4. ขี้เลื่อยจากก้อนเชื้อเห็ดเก่า<br />
<br />
5. ตะกร้า รูขนาด 1 นิ้ว<br />
<br />
6. ผ้ายาง<br />
<br />
ขั้นตอนการเพาะ<br />
<br />
1.นำขี้เลื่อยจากก้อนเชื้อเห็ดเก่ามาขยี้ให้ละเอียด เสร็จแล้วนำมาใส่ในตะกร้าพลาสติกให้สูงประมาณ 2-3 นิ้ว ใช้มือหรือไม้กดให้แน่น<br />
<br />
2.นำอาหารเสริมโรยชิดด้านในของตะกร้าเป็นวงกลม กว้างประมาณ 1 ฝ่ามือ ซึ่งใช้ประมาณ 1 ลิตรต่อชั้น<br />
<br />
3.นำเชื้อเห็ดฟางออกจากถุง นำไปคลุกกับแป้งข้าวสาลีพอติดผิวนอก เพื่อเป็นอาหารเสริมระยะแรก เพื่อช่วยกระตุ้นให้เชื้อเห็ดเจริญได้ดี แล้วโรยทับอาหารเสริมอีกชั้นหนึ่ง ทำเป็นชั้นๆ ลักษณะนี้จนเต็มตะกร้าพลาสติก รดน้ำให้ชุ่ม(หากก้อนเชื้อเห็ดที่นำมาเพาะยังชุ่มอยู่ก็ไม่ต้องรดน้ำ )<br />
<br />
4.ควบคุมอุณหภูมิให้เหมาะสมสำหรับการเกิดดอกเห็ด โดยการปิดโรงเรือนให้มิดชิด เช่น ด้านล่างควรใช้ อิฐทับผ้าพลาสติกไว้เพื่อป้องกันพลาสติกเปิดออกภายในโรงเรือนควรติด เทอร์โมมิเตอร์ สำหรับวัดอุณหภูมิ ในช่วงวันที่ 1 ถึง 4 วันแรก ต้องควบคุมอุณหภูมิในกระโจมหรือในโรงเรือนให้อยู่ในระดับ 37-40 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิสูง เกินไปให้เปิดช่องระบายอากาศด้านบนของโรงเรือนออกโดยใช้วัสดุพรางแสงคลุม หรือรดน้ำรอบๆ<br />
โรงเรือน เมื่อครบกำหนด 4 วันแล้ว ให้เปิดผ้าพลาสติก หรือประตูโรงเรือนอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพื่อให้มีการถ่ายเทอากาศ (ออกซิเจน) เพื่อให้เส้นใยเห็ดฟางสร้างจุดกำเนิดออก ถ้าวัสดุแห้งเกินไปให้รดน้ำหรือที่เรียกว่าการตัดใยเห็ด ในระหว่าง วันที่ 5-8 ต้องควบคุมอุณหภูมิภายในโรงเรือนให้อยู่ระหว่าง 28-32 องศาเซลเซียสซึ่งในช่วงนี้จะมีการรวมตัวของเส้นใยเป็นดอกเล็กๆ จำนวนมาก เมื่ออายุได้ 9-12 วัน ก็เก็บดอกเห็ดได้<br />
<br />
****ผลผลิตการเพาะเห็ดในตะกร้า 0.5 - 1 กิโลกรัม/ตะกร้า<br />
<br />
ขอบคุณข้อมูลจาก : ด.ต.สมพงษ์ ดีอาสา เกษตรกรผู้โดดเด่นในด้านการเพาะเห็ดฟาง จังหวัดนครนายก<br />
<br />
<br />
ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />
สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี(IDF4190)<br />
<br />
</dd></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-38412062212004907322010-02-15T18:32:00.000-08:002010-02-15T18:43:41.042-08:00สูตรน้ำสมุนไพรแช่ข้าวเปลือก<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvC8GErAfGsSd61BRvOx7rHY7tIgqMAox2SeXp0tDopQUFjS22YDSLSIvSzMYjEWaaDb9gFC0ghUQnXPzD0Wz52vrSVE1UqeSAe8794RnaiKj-tknx06WC2sWUs7BMZEDP6pYxb7t510s/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 400px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhvC8GErAfGsSd61BRvOx7rHY7tIgqMAox2SeXp0tDopQUFjS22YDSLSIvSzMYjEWaaDb9gFC0ghUQnXPzD0Wz52vrSVE1UqeSAe8794RnaiKj-tknx06WC2sWUs7BMZEDP6pYxb7t510s/s400/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5438664451149958466" /></a><br /><dd> ข้าว(1)สูตรแช่ข้าวเปลือกก่อนหว่านกล้าแข็งแรงใช้ยอดตำลึงฟักทองผักบุ้ง<br /><dd> ข้าว(2)น้ำ1ลิตร น้ำตาลทรายแดง1กก.พด2. 2ช้อนโต๊ะวิธีการทำโทร *1677 กด 2<br /> <br /><br /> การ ทำนาข้าวอินทรีย์ ด้วยการป้องกัน การบำรุง และเป็นการการสร้างความแข็งแรง ให้แก่กล้าข้าว ด้วยวิธีทางธรรมชาติ โดยอาศัยเคล็ดลับการแช่เมล็ดข้าวเปลือก ก่อนการหว่าน 1 คืน ด้วยน้ำหมักยอดผัก ที่ทำให้กลุ่มชุมชนบ้านชำปลา ไหล หมู่ที่ 12 ต.สองพี่น้อง อ.ท่าใหม่ จ.จันทบุรี ได้ประสบความสำเร็จและ เอาชนะแมลงศัตรูพืชโดยอาศัยสารทางธรรมชาติทำให้กล้าข้าวในนาข้าวอินทรีย์ แข็งแรงและเจริญเติบโต เป็นแปลงนาที่ออกรวงข้าวได้ผลิตผลตามต้องการ<br /><br /><br /><br />การเตรียมดิน/วัสดุ-อุปกรณ์<br /><span class="fullpost"><br />-เมล็ดข้าวเปลือกที่สมบูรณ์ที่ใช้ในการหว่านกล้า<br />-ยอดผักในพื้นที่ที่ปลอดสารพิษ ชนิดต่าง เช่น ยอดผักตำลึง ยอดฝักทอง ยอดผักบุ้ง ฯลฯ<br />-น้ำ<br />-น้ำตาลทรายแดง<br />-สารเร่ง พด. 2<br />-กระป๋องในการหมัก<br /><br />ขั้นตอน<br />1.นำยอดผัก ชนิดต่าง เช่น ยอดผักบุ้ง ยอดผักตำลึง ยอดฝักทอง นำมาสับละเอียด จำนวน 3 กิโลกรัม<br />2.ผสมน้ำ 1 ลิตร (ขยำ คลุกเคล้าให้เข้ากัน)<br />3.หมักรวมกับ น้ำตาลทรายแดง 1 กิโลกรัม<br />4.ใส่ สารเร่ง พด. 2 จำนวน 1 ช้อนโต๊ะ<br /><br />หมายเหตุ<br />หมักเป็นระยะเวลา 3 วัน กรองน้ำหมัก จำนวน 1 ลิตร นำมาผสมน้ำ 200 ลิตร แล้วนำเมล็ดข้าวเปลือกมาแช่ในอัตรา ข้าวเปลือก 1 กิโลกรัม ต่อ น้ำ 1 ลิตร เป็นเวลา 1 คืน ก่อนนำไปหว่านในร่องหว่านกล้าข้าว ถือเป็นวิธีการสร้างกล้าข้าวให้แข็งแรงด้วยการบำรุงตั้งแต่เป็นเมล็ดข้าว เปลือกก่อนการหว่าน<br /><br />สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่<br />คุณพรเทพ สายพาณิชย์<br />เลขที่ 9/1 ม.12 ต.สองพี่น้อง อ. ท่าใหม่ จ.จันทบุรี 22000<br />โทรศัพท์ 086-309-3562<br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อพมูลการเกษตร * ๑๖๗๗<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ. จันทบุรี<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-65200655270930865012010-02-15T18:24:00.000-08:002010-02-15T18:31:58.244-08:00น้ำหมักจากเศษปลากระตุ้นข้าวออกรวง<dd> ข้าว(1)น้ำหมักจากเศษปลากระตุ้นข้าวออกรวง น้ำส้มควันไม้1ลิตร เศษปลา40กก.<br /> <dd> ข้าว(2)น้ำเปล่า100ลิตร พด.2 1 ซองหมักนาน1เดือนการใช้4ช้อนโต๊ะ/น้ำ20ลิตร<br /> <br /> ใน ปัจจุบันเกษตรกรเริ่มที่จะหันมาทำการเกษตรแบบปลอดสารกันมากขึ้น และเริ่มที่ จะหันมาดูแลสุขภาพอย่างแพร่หลาย ตามแนวทางเกษตรทฤษฏีใหม่ คุณพ่อสิงห์ ทอง นาชัย เป็นอีกท่านหนึ่งที่ดำเนินกิจกรรมที่ในพื้น โดยเน้นกิจกรรมในรูป แบบไร่นาสวนผสม จากเคยเน้นใช้สารเคมีทั้งปุ๋ยและยาปราบศัตรูพืช จนแทบเอา ชีวิตทิ้งกับสารพิษเหล่านั้น ได้หันมาใช้สารอินทรีย์ทั้งแปลงไร่นาและแปลง ผักสวนครัว จนเป็นแปลงเกษตรอินทรีย์ ที่เป็นตัวอย่างของชุมชนทั้งในและต่าง ประเทศ<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9Pn9PGOhD6K4rwTS-b0W401wJ5bWoHLeOMiwFS9nrMl8tieU155Y52k9AGmPTs_pns9N5ZW15GQ3pn2TsfpNUl3TaY9SSe81JfAJRAJmYixa4J3NBp6_pRR1tCqLk1tyrO-suMNx3_xM/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 301px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj9Pn9PGOhD6K4rwTS-b0W401wJ5bWoHLeOMiwFS9nrMl8tieU155Y52k9AGmPTs_pns9N5ZW15GQ3pn2TsfpNUl3TaY9SSe81JfAJRAJmYixa4J3NBp6_pRR1tCqLk1tyrO-suMNx3_xM/s400/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5438661952952711794" /></a><br /><span class="fullpost"><br />การประสบความสำเร็จในด้านเกษตรปลอกสาร และสามารถเพิ่มผลผลิต และลดต้นทุนในด้านการเกษตรในพื้นที่จนได้คำยกย่องให้เป็นปราชญ์ของชุมชน การเพิ่มผลผลิตในนาข้าว และช่วยลดต้นทุนการใช้ปุ๋ยในพื้นที่ซึ่งคุณพ่อมีสูตรที่คิดค้นขึ้นเองไม่ซ้ำ ใครในการเพิ่มผลผลิตในนาข้าวได้อย่างมี<br /><br />วัสดุที่ต้องเตรียม<br />1.น้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร (แทนกากน้ำตาล)<br />2.เศษหัวปลา 40 กก.<br />3.น้ำเปล่า 100 กก.<br />4.สารเร่ง ผด.2 จำนวน 1 ซอง<br />5.ถังหมัก 200 ลิตร<br /><br />กรรมวิธีการหมัก<br />นำเศษหัวปลาที่เตรียมไว้ 40 กก.ลงถังหมัก ตามด้วยน้ำส้มควันไม้ 1 ลิตร หลังจากนั้นนำสารเร่ง ผด.2 จำนวน 1 ซองไปละลายน้ำเปล่า 5 ลิตร หลังจากนั้นเทลงถังหมัก ตามด้วย น้ำเปล่า 100 ลิตร หลังจากที่นำส่วนผสมทั้งหมดลงถังเรียบร้อยแล้วกวนส่วนผสมให้เข้ากันให้ดี เสร็จแล้วปิดผาถังให้สนิทแล้วหมักทิ้งไว้ไม่น้อยกว่า 30 วัน<br /><br />อัตราส่วนการนำไปใช้<br />ใช้น้ำหมักปลา จำนวน 4 ซ้อนโต๊ะ ผสมน้ำเปล่า 20 ลิตร ฉีดพ่นในนาข้าวในช่วงที่ต้นข้าวกำลังตั้งท้อง จะช่วยให้ต้นข้าวออกรวงได้ดี ช่วยให้เมล็ดข้าวมีน้ำหนัก<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *๑๖๗๗<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ขอนแก่น<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-50190743867496812452010-02-15T18:20:00.000-08:002010-02-15T18:24:06.273-08:00วิธีการทำกุนเชียง<dd>หมู วิธีการเพิ่มมูลค่าให้แก่สินค้าทางการเกษตรและการแปรรูปอาหาร<br /><br /> การเพิ่มมูลค่าให้กับวัตถุดิบที่มีอยู่ในท้องถิ่น ก็เป็นอีกทางเลือก ที่ของกลุ่มแปรรูปอาหารจากเนื้อสัตว์ บ้านหนองปลาน้อย ตำบลเหล่าปอแดง อำเภอ เมือง จังหวัดสกลนคร ซึ่งสร้างรายได้เข้ากลุ่มเดือนละ ประมาณ 50,000 บาท หลังจากการทำนา<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNOZmY_C1AYOZK_WA73m_z2pRw9gX_p0lHDe_suwV5AUhL-nP9K55MSU2SNvshHKn96cSytxLNXjv_Qc6sbIo5up7EzloPAUWDuyBZYwMJ8lLUa8FvFgQjljLqHPoA7WwuIiV2E5-Aek4/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 400px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjNOZmY_C1AYOZK_WA73m_z2pRw9gX_p0lHDe_suwV5AUhL-nP9K55MSU2SNvshHKn96cSytxLNXjv_Qc6sbIo5up7EzloPAUWDuyBZYwMJ8lLUa8FvFgQjljLqHPoA7WwuIiV2E5-Aek4/s400/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5438661302828337410" /></a><br />วัตถุดิบการทำกุนเชียง<br /><span class="fullpost"><br />1.หมูเนื้อแดง จำนวน 10 กิโลกรัม<br />2.มันหมู จำนวน 3 กิโลกรัม<br />3.น้ำตาลทราย จำนวน 3 กิโลกรัม<br />4.เกลือ จำนวน 5 ช้อนโต๊ะ<br />5.ไส้หมูแห้ง จำนวน 1 มัด ประมาณ 40 กิโลกรัม<br />วิธีการ<br />1.นำหมูเนื้อแดงมาบดละเอียดด้วยเครื่องบด แล้วพักไว้<br />2.นำมันหมูมาบดละเอียดด้วยเครื่องบด แล้วพักไว้<br />3.นำเนื้อหมูทั้งหมดมาคลุกรวมกันแล้วปรุงรส ใส่น้ำตาลทราย ซีอิ้วขาว และเกลือ โดยคลุกเคล้าให้เข้ากันจนเป็นเนื้อเดียว<br />4.จากนั้นกรอกเนื้อหมูที่ปรุงรสแล้วใส่ไส้แห้งด้วยเครื่องกรอก ได้ประมาณ 8 แท่ง/ 1 กิโลกรัม จนหมดเนื้อหมูที่เตรียมไว้<br />5.เมื่อกรอกเสร็จแล้วนำไปอบแห้งด้วยเครื่องอบนานประมาณ 2 วัน แล้วนำมาตากแดดอีก 1 วัน ก่อนนำไปบรรจุขาย<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ขอนแก่น ( idf 1487 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-88643308606952236742010-02-11T08:05:00.001-08:002010-02-11T08:13:10.669-08:00การปลูกกล้วยเพื่อเพิ่มผลผลิตและประหยัดพื้นที่<dd>กล้วย(1)การปลูกเพื่อเพิ่มผลผลิตและประหยัดพื้นที่ 1ไร่ ปลูกได้1,600ต้น<br /><dd>กล้วย(2)จากคุณบุญส่ง อังคาสัย เกษตรกร จ.สระบุรี วิธีการทำโทร*1677กด2<br /> <br />เกษตรกร หลาย ๆ ท่านที่ได้ทำการปลูกกล้วยน้ำว้า ส่วนใหญ่จะปลูกกล้วย ได้ 400 ต้น ในพื้นที่จำนวน 1 ไร่ แต่ในส่วนของคุณบุญส่ง อังคา สัย เกษตรกรผู้ทำสวนผสมผสานในพื้นที่จังหวัดสระบุรี นั้น สามารถปลูก กล้วยได้ถึง 1,600 ต้น ในพื้นที่ 1 ไร่ เท่ากับเกษตรกรรายอื่น ๆ โดยคุณ บุญส่งบอกว่า ในการปลูกกล้วยแบบนี้ จะช่วย เพิ่มผลผลิตได้เป็นอย่าง ดี และที่สำคัญ เป็นการประหยัดพื้นที่ได้ดีอีกด้วย โดยจะปลูกตามวิธีการ และรายละเอียดดังนี้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjh2d6ygrXmt28KEK9vfszSTaxt7Gg3OF1-8rEGcIfOPrm5R-niKIxuabexnyL0Yfx4XjYJtsnRGGTvPzjXEMM7Jqo4ygzQsha9tVYwc8hvV5e6zYTDcD9LWXJHF7ZnqLK9WVNur-X3jU/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 400px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjh2d6ygrXmt28KEK9vfszSTaxt7Gg3OF1-8rEGcIfOPrm5R-niKIxuabexnyL0Yfx4XjYJtsnRGGTvPzjXEMM7Jqo4ygzQsha9tVYwc8hvV5e6zYTDcD9LWXJHF7ZnqLK9WVNur-X3jU/s400/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5437019372576501394" /></a><br /><br />เทคนิคการปลูกกล้วยเพื่อเพิ่มผลผลิตและประหยัดพื้นที่<br /><span class="fullpost"><br />1.ทำการปรับและเตรียมพื้นที่ที่จะทำการปลูกกล้วย<br /><br />2.นำหน่อกล้วยพันธุ์ที่ต้องการ มาปลูกโดยปลูกให้มีระยะห่าง 1 * 1 เมตร ซึ่งในพื้นที่ 1 ไร่ จะสามารถปลูกได้ประมาณ 1,600 ต้น (ปรกติแล้ว พื้นที่ 1 ไร่ สามารถปลูกกล้วยได้แค่ 400 ต้นเท่านั้น)<br /><br />3.หลังจากปลูกไปซักระยะหนึ่ง กล้วยก็จะแตกหน่อขึ้นมา ให้ทำการตัดแต่งหน่อ โดยให้เว้นหน่อไว้ 3 หน่อ ต่อต้น (เพื่อป้องกันลมกระโชก)<br /><br />4.และเมื่อกล้วยเริ่มออกปลี ให้ทำการตัดแต่งใบกล้วย โดยให้เว้นใบกล้วยรวมใบยอด ไว้ประมาณ 3 ใบ ต่อต้น (เพื่ออาหารของกล้วยจะได้ไปเลี้ยงผลได้อย่างเต็มที่) โดยใบกล้วยที่เหลือ จะเก็บไว้เพื่อสังเคราะห์แสง และก็สามารถนำใบกล้วยที่ตัดได้ไปขาย เพื่อสร้างรายได้อีกทางหนึ่งด้วย<br /><br />*** การปลูกกล้วย ในระยะ 1*1 เมตร จะช่วยให้ประหยัดเนื้อที่ในการปลูก ช่วยให้มีผลผลิต ขายได้อย่างต่อเนื่อง และที่สำคัญ จะช่วยป้องกันวัชพืชได้เป็นอย่างดีอีกด้วย เพราะถ้าปลูกกล้วยในระยะ ชิด ๆ อย่างนี้ ใบของกล้วย จะให้ร่มเงา และควบคุมการเจริญเติบโตของวัชพืชได้เป็นอย่างดีทั้งนี้วิธีการดังกล่าวไม่ มีผลกระทบต่อขนาดและคุณภาพของกล้วย<br /><br /><br /><br />ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณบุญส่ง อังคาลัย เกษตรกรผู้มีความเชี่ยวชาญในเรื่องการทำเกษตรผสมผสานและการคิดค้นสูตรและ วิธีการต่าง ๆ ในการทำเกษตร จังหวัดสระบุรี<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี (IDF4195)<br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-31383234999551255212010-02-09T18:24:00.000-08:002010-02-09T18:27:08.158-08:00การทำปุ๋ยหมักบำรุงดินในผัก และผลไม้<dd>ปุ๋ย(1)ปรับสภาพดินขุยมะพร้าว40กก.ขี้วัว/ขี้ไก่อย่างละ15กก.ขี้แพะ/ขี้หมู<br /><dd> ปุ๋ย(2)แกลบดำอย่างละ10กก.ยูเรีย1กก.น้ำหมักหอยเชอรี่2ลิตรหมัก1เดือนใช้ได้<br /> <br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqnOe8EnZlHOt6o7IPIL3LP_rsfRoCySTRWjMWrjkLy-I9XcEPqwAR8d2UfDQYTeVWscgn2c4ntr2OFz9W___iIUjQ9N3kHdyMNNf1lYWVOeRyJucL21LyegMohehYh1kM4MVlMNi6IEc/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 400px; height: 400px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhqnOe8EnZlHOt6o7IPIL3LP_rsfRoCySTRWjMWrjkLy-I9XcEPqwAR8d2UfDQYTeVWscgn2c4ntr2OFz9W___iIUjQ9N3kHdyMNNf1lYWVOeRyJucL21LyegMohehYh1kM4MVlMNi6IEc/s400/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5436435454261344530" /></a><br /><br />คุณ.พิญ บุญ ชัย อายุ 61 ปี อยู่บ้านเลขที่ 76 ม.6 ต.การะเกด อ.เชียรใหญ่ จ.นครศรี ธรรมราชได้ดำรงตำแหน่ง หมอดินอาสาประจำตำบล การะเกด มาตั้งแต่ ปี 2538 และ ได้ประกอบ อาชีพ ทำการเกษตรผสมผสาน ใน พื้นที่ 10 ไร่ 3 งาน และได้หยุดทำ ไป 2 ปีเนื่องจากภรรยาไม่สบายจึงต้องดูแลภรรยา แต่ก็ป่วยรักษาไม่หายและเสีย ชีวิตลงไป แต่คุณ.พิญก็ไม่ท้อ คุณ.พิญ จึงได้กลับมาทำการเกษตรอีกครั้งโดยใน เริ่มแรกก็ฟื้นฟูสภาพดินให้อุดมสมบูรณ์ให้มีธาตุอาหารเพิ่มขึ้นก่อนที่จะ ปลูกพืชผักลงไปและได้คิดค้นปุ๋ยหมัก ช่วยปรับสภาพดินให้ดินมีความอุดม สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น และในพื้นที่ทั้งหมด 10 ไร่กว่านั้น คุณ. พิญ ก็แบ่ง ออกดังนี้ <br />-ใช้เลี้ยงปลาสลิด 3 บ่อ ในพื้นที่ 3 ไร่<br />-ใช้ปลูกพืช ผัก เช่น มะพร้าวน้ำหอม /กล้วยหอมทอง /กะท้อนฝ้าย/พริก /ผักบุ้ง ในพื้นที่ 7 ไร่<br />และในกระบวนปลูกพืชผักต่างๆนั้นคุณลุงก็ได้ทำปุ๋ยหมักไว้ใช้ในการเกษตรไว้ใช้เองเพื่อบำรุงดินให้แก่พืชผักผลไม้มีสูตรดังนี้<br /><br /><br />วัสดุที่ใช้ในการทำปุ๋ยหมัก มีดังนี้<br /><span class="fullpost"><br />1.ขุยมะพร้าว 40 กิโลกรัม<br /><br />2.ขี้วัว 15 กิโลกรัม<br /><br />3.ขี้ไก่ 15 กิโลกรัม<br /><br />4.ขี้หมู 10 กิโลกรัม<br /><br />5.ขี้แพะ 10 กิโลกรัม<br /><br />6.แกลบดำ 10 กิโลกรัม<br /><br />7.ปุ๋ยยูเรีย 1 กิโลกรัม<br /><br />8. * น้ำหมักหอยเชอรี่ 2 ลิตร<br />*วิธีการทำน้ำหมักหอยเชอรี่ *มีดังนี้ค่ะ<br />1.หอยเชอรี่<br />2.กากน้ำตาล<br />3.สารเร่ง พด.2 (1 ซอง)<br />นำส่วนผสมทั้งหมดมาทำการ หมักไว้1เดือนก็นำใช้งานได้ค่ะ<br /><br />วิธีการทำ นำมาผสมตั้งแต่ข้อ 1-8 มาผสมให้เข้ากัน และหมักไว้ 1 เดือน แล้วนำมาใช้เป็นปุ๋ยหมักได้<br /><br />ประโยชน์ของปุ๋ยหมัก<br />1.ช่วยปรับสภาพดินให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น<br />2.ช่วยให้ผักและผลไม้มีการเจริญเติบโตดีขึ้น<br /><br />วิธีการใช้<br />-นำไปใส่ใน พืชผัก ได้ทุกชนิด ในปริมาณที่เหมาะสมไม่มากไม่น้อยเกินไป<br />-ในไม้ผล ควรใส่ โดยโรยรอบโคนให้เป็นทรงพุ่มสักประมาณ 2 หน้าจอบ และใช้ดินเก่ากลบ ในอัตราส่วนพอประมาณ ประโยชน์ ใช้แทนปุ๋ย รองก้นหลุมก่อนปลูกไม้ผล ช่วยเร่งการเจริญเติบโตและ ลดต้นทุนเรื่องปุ๋ยได้<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช (IDF4120)<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-87721302462687313272010-02-09T18:19:00.000-08:002010-02-09T18:23:48.928-08:00วิธีกำจัดเพลี้ยลงทำลายข้าวในนา<dd>ข้าว(1)วิธีกำจัดเพลี้ยลงทำลายข้าวในนาใช้มะพร้าวขูด2ขีด น้ำต้มเดือด1ลิตร<br /> <dd> ข้าว(2)ยาฉุน1ขีด ผสมทุกอย่างทิ้งให้เย็นกรองแต่น้ำใช้10cc/ น้ำ20ลิตร<br /> <a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_youEiFPoTqp-B36K9bauoHl97QzrcIfSfWffwwd8pW1DWV4ok1HzWwZZRwRpJY0NUrM_ZH4EkbpokpBdmTQ29LxyuN6NohB-ZYIT8I-kIpLkMMB0jh3Qn9Szjbl6gcww8l9jKSR5eEY/s1600-h/fr.jpg"><img style="margin: 0px auto 10px; display: block; text-align: center; cursor: pointer; width: 400px; height: 287px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEj_youEiFPoTqp-B36K9bauoHl97QzrcIfSfWffwwd8pW1DWV4ok1HzWwZZRwRpJY0NUrM_ZH4EkbpokpBdmTQ29LxyuN6NohB-ZYIT8I-kIpLkMMB0jh3Qn9Szjbl6gcww8l9jKSR5eEY/s400/fr.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5436434540194418370" border="0" /></a><br />เพลี้ยปากดูดอีกหนึ่งปัญหาที่สำคัญของเกษตรกรผู้ทำนา เพราะถ้าเกิด โรคนี้ก็จะมีการแพร่ระบาดอย่างรวดเร็ว ทางคุณป้ามาลี จึงได้นำความรู้ที่ ได้รับจากการศึกษาดูงานจากสถานที่ต่างๆ ทั้งในและนอกพื้นที่ มาทดลอง ใช้ เมื่อใช้แล้วประสบความสำเร็จก็จะมีการต่อยอดสูตรต่อไปอีก โดยการนำวัตถุ ดิบที่มีในท้องถิ่นมาประยุกต์ใช้นั่นเอง ในส่วนของสูตรกำจัดเพลี้ย ตนบอกว่า ตนได้นำความรู้ที่ได้จากอาจารย์สุวัตร ทรัพญะประภา มาปรับใช้กับวัตถุดิบ ที่มี ซึ่งใช้แล้วได้ผลดี จึงต้องการแนะนำให้เกษตรกรท่านอื่นๆ ได้นำไปปรับ ใช้กันต่อไป โดยมีวิธีการและรายละเอียดดังนี้<br />วัตถุดิบ<br /><span class="fullpost"><br />.มะพร้าวขูด 2 ขีด<br />2.ยาฉุน 1 ขีด<br />3.น้ำเดือด ๆ 1 ลิตร<br />วิธีการทำ<br />1. นำมะพร้าวขูดมาขยำคลุกเคล้ากับยาฉุนให้เข้ากัน จากนั้นก็นำน้ำเดือดๆ เทใส่ลงไป คนให้เข้ากัน วางทิ้งไว้ให้เย็น แล้วกรองเอาเฉพาะน้ำไปฉีดพ่น<br />วิธีการใช้<br />2. นำไปฉีดพ่นในช่วงที่เกิดโรค ในอัตรา น้ำที่กรองเรียบร้อยแล้ว 10 ซีซี ต่อ น้ำ 20 ลิตร แล้วนำไปฉีดพ่นให้ทั่วแปลงนาบริเวณที่เกิดโรค และให้ฉีดให้โดนตัวของตัวเพลี้ยปากดูดด้วย ถึงจะดี และที่สำคัญ ถ้าจะให้ได้ผลดี ต้องทำการฉีดในช่วงเช้า<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677<br />ถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี ( idf 4271 )</span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-10227878260599315642010-02-08T17:28:00.000-08:002010-02-08T17:33:45.295-08:00การกำจัดเพลี้ยไฟและเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล<dd> ข้าว(1)การกำจัดเพลี้ยไฟและเพลี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่คอยดูดน้ำเลี้ยงต้นข้าว<br /><dd> ข้าว(2)ใช้กาแฟผง 1 ช้อนชา น้ำ 5 ลิตร ฉีดพ่นนาข้าวได้ 1 ไร่<br /> <br /> เพลี้ยถือว่าเป็นศัตรูที่สำคัญของข้าวและพืช ที่เกษตรกรไม่อยากที่ จะเจอ ซึ่งเมื่อเจอกับปัญหาดังกล่าวแล้ว ก็จะหาทางที่จะป้องกันและแก้ไข ค่อนข้างยาก ซึ่งเป็นผลทำให้ผลผลิตทางการเกษตรได้รับความเสียหาย จากการลง พื้นที่เข้าร่วมพูดคุยกับคุณลุงไสว ศรียา เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดประจำ ปี 2551 ของจังหวัดนครนายก นั้น คุณลุงไสวได้แนะวิธีการในการกำจัด เพลี้ย ไม่ว่าจะเป็นเพลี้ยไฟ เพลี้ยกระโดดสีน้ำตาล หรือเพลี้ยชนิด ต่างๆ ด้วยวิธีการง่าย ๆ ที่นำวัตถุดิบ ที่หาได้ไม่ยากตามบ้านเรา หรือท้อง ตลาดทั่วไป มาใช้เพื่อการกำจัดเพลี้ยเหล่านั้น โดยวิธีการและรายละเอียดดัง นี้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmUtdPmKkI8QbEeaNMug_g1h_nR_JBLwfRSKMmdBmb4Pe5szdU3x9A7MVH5aezSTMPYfcZn1wXm3Rw6UDTjm-2ccNn1xn3pOd3VpW-0huqCRAREElYlPv-3i9NGeOC_18viropf35VmEo/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgmUtdPmKkI8QbEeaNMug_g1h_nR_JBLwfRSKMmdBmb4Pe5szdU3x9A7MVH5aezSTMPYfcZn1wXm3Rw6UDTjm-2ccNn1xn3pOd3VpW-0huqCRAREElYlPv-3i9NGeOC_18viropf35VmEo/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5436050334730215586" /></a><br />วัตถุดิบ<br /><span class="fullpost"><br />1. กาแฟ 1 ช้อนชา<br />2. น้ำ 5 ลิตร<br /><br />วิธีการทำและการนำไปใช้<br />นำวัตถุดิบทั้ง 2 ชนิดมาผสมให้เข้ากัน จากนั้นก็นำไปฉีดพ่นในพื้นที่การเกษตร จะช่วยไล่เพลี้ยชนิดต่างๆ ที่เข้ามาทำลายพืชผลทางการเกษตรหรือเพลี้ยที่ดูดกินน้ำเลี้ยง ใช้ได้ผลดีกับ ข้าว ผลไม้ ไม้ดอกไม้ประดับ และพืชผักทุกชนิด ควรจะทำการฉีดพ่นในช่วงเช้าจะทำให้ได้ประสิทธิภาพสูงกว่าช่วงอื่น ๆ<br /><br />** ในการนำน้ำผสมกาแฟ ไปฉีดพ่นนั้น ในปริมาณที่บอกไปข้างต้น จะใช้ได้กับข้าว และไม้ดอก ประมาณ 1 ไร่ และถ้าเป็นไม้ผลขนาดใหญ่ จะใช้ได้ประมาณ 5 ต้น ตามสัดส่วน<br />** ในกรณีที่เพลี้ยระบาดรุนแรง ให้เพิ่มปริมาณการใช้ได้ตามความเหมาะสม<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ. สระบุรี ( ids 28045 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-72856488462802036282010-02-07T18:35:00.000-08:002010-02-07T18:37:32.305-08:00วิธีแก้ปัญหาบ่อน้ำดินลูกรังที่เก็บน้ำไม่อยู่<dd>(1)วิธีแก้ปัญหาบ่อน้ำดินลูกรังที่เก็บน้ำไม่อยู่ไม่สามารถเลี้ยงปลาได้<br /><dd>(2)ใช้ขี้วัว50กก./บ่อ1งานโรยพื้นบ่อทำซ้ำประมาณ4-5 ปีจะสามารถช่วยได้<br /> <br /><br /> สำหรับหลายๆ พื้นที่ที่เป็นดินลูกรัง ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้ นั้น อาจจะเจอกับปัญหาหลายอย่างเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นปัญหาในเรื่องการ ทำเกษตรแบบผสมผสานที่ต้องใช้น้ำอยู่เป็นประจำ หรือ ไม่ก็ไม่สามารถที่จะทำ การเลี้ยงปลาได้ และอีกหลาย ๆ เรื่องที่ตามมา สำหรับคุณอำนาจ มอญ พันธุ์ เจ้าของศูนย์เรียนรู้เศรษฐกิจพอเพียง ชุมชนบ้านหนองผักแว่น ต.หนอง ผักแว่น อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี นั้น ถือว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหา หลัก เพราะคุณอำนาจ ได้ทำการทดลองนำมูลวัวมาใช้ในการรองพืชก้นบ่อสำหรับ เลี้ยงปลา และบ่อกักเก็บน้ำไว้สำหรับการทำเกษตร ซึ่งเดิมทีแล้ว พื้นที่ ดังกล่าว หรือบ่อน้ำของคุณอำนาจนั้น ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้เลย เพราะ พื้นที่บริเวณนั้น จะเป็นดินลูกรัง มีการดูดซึมน้ำอย่างรวดเร็ว มา วันนี้ คุณอำนาจสามารถเลี้ยงปลา และนำน้ำมาใช้ในการทำการเกษตรได้อย่าง สบาย ด้วยวิธีการดังนี้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiA54jzg5U6c7kgIstHWvg8Ar4WDNK-lCHF1pmYIAj3ji8iXWkdPfxnslYx9zo1iDE9Y3JZWvSTyfC9_Dvn29CBqnfMEHpxgdm8O-Svp-Ns2ZrSzV-W-LySwfTksax99ulhHySsQfNxapo/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiA54jzg5U6c7kgIstHWvg8Ar4WDNK-lCHF1pmYIAj3ji8iXWkdPfxnslYx9zo1iDE9Y3JZWvSTyfC9_Dvn29CBqnfMEHpxgdm8O-Svp-Ns2ZrSzV-W-LySwfTksax99ulhHySsQfNxapo/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5435696017492383778" /></a><br /><span class="fullpost"><br />หลักจากที่ทำการขุดบ่อเรียบร้อยแล้ว ก็ให้ทำการปล่อยน้ำเข้าบ่อให้เต็ม เมื่อปล่อยน้ำได้ในระยะสั้น ๆ (ถ้าเป็นดินลูกรัง) น้ำก็จะแห้ง และในขณะที่บ่อแห้งนั้น ให้นำมูลวัว ประมาณ 3 กระสอบ (กระสอบละ 50 กิโลกรัม) ต่อพื้นที่ประมาณ 1 งาน โรยให้ทั่วก้นบ่อ หลังจากนั้นก็ให้ทำการสูบน้ำเข้าบ่อให้เต็ม โดยครั้งแรกนั้น อาจจะเก็บน้ำไว้ได้ไม่นาน เมื่อบ่อแห้งอีกรอบ ก็ให้นำมูลวัวมาโรยให้ทั่วบ่ออีกรอบ ทำอย่างนี้ประมาณ 4-5 ปี บ่อก็จะกักเก็บน้ำได้นานตลอดทั้งปี แถวยังช่วยให้หน้าดินภายในบ่อดีขึ้นอีกด้วย<br />ซึ่งวิธีดังกล่าว คุณอำนาจ บอกว่า สามารถกักเก็บน้ำได้เป็นอย่างดี จากเดิม ที่ไม่สามารถกักเก็บได้เลย หรือกักเก็บได้เป็นระยะเวลาสั้น ๆ ซึ่งถือว่า มูลวัวจะช่วยในการเคลือบ หรือรองกันบ่อ ทำให้ก้นบ่อเกิดดินเลน ปกปิดดินทรายที่จะคอยดูดซึมน้ำทำให้คุณอำนาจสามารถใช้บ่อดังกล่าวเลี้ยงปลา ได้ตลอดทั้งปี<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี ( idf 3854 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-78884896719261367452010-02-07T18:28:00.001-08:002010-02-07T18:35:00.913-08:00น้ำหมักบำรุงต้นข้าวเร่งลมเบ่ง<dd> ข้าว(1)น้ำหมักบำรุงต้นข้าวเร่งลมเบ่งให้ข้าวออกรวงดีมีคุณภาพเมล็ดสวย<br /><dd> ข้าว(2)ใช้น้ำหมักสับปะรดและน้ำหมักโคนเห็ดเป็นหัวเชื้อสนใจโทร *1677 กด2<br /> <br /> คุณสันทัด ครองรักษ์ เกษตรกรทำนาข้าวแบบอินทรีย์และทำการเกษตรแบบผสม ผสาน ได้บอกถึงความสามารถของน้ำหมักเร่งลมเบ่งนี้คือ การช่วยทำให้ข้าวออก ร่วงเสมอกัน ข้าวเมล็ดงาม และที่สำคัญอย่างที่บอกว่าเร่งลมเบ่ง จะช่วยให้ ข้าวออกร่วงมากกว่าปกตินั้นเอง จึงได้นำมาแนะนำให้กับเกษตรกรท่านอื่นๆได้ ทราบกัน โดยมีรายละเอียดและวิธีการดังนี้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjR0OXeqO-ZclWlCrG3u9EfBnsL2zbkNKciTUBU4v3RVFYhGzl-5MXvc757cM83Rt2yVstAnknnWR2qoDRHyw1ccwll_47etnHU30RUBnwfhD3u9sEwbAXzYwoMfeQpINdzKTtN5-lX958/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 310px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjR0OXeqO-ZclWlCrG3u9EfBnsL2zbkNKciTUBU4v3RVFYhGzl-5MXvc757cM83Rt2yVstAnknnWR2qoDRHyw1ccwll_47etnHU30RUBnwfhD3u9sEwbAXzYwoMfeQpINdzKTtN5-lX958/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5435695411829620706" /></a><br /><br />วัสดุ-อุปกรณ์<br /><span class="fullpost"><br />1.น้ำหมักสับปะรด จำนวน 1 กิโลกรัม<br />2.กากน้ำตาล จำนวน 20 กิโลกรัม<br />3.น้ำมะพร้าว จำนวน 5 ลิตร<br />4.น้ำหมักโคนเห็ดบำรุงเห็ด จำนวน 60 ซีซี<br />5.น้ำสะอาด จำนวน 25 ลิตร<br />วิธีการทำ<br />นำน้ำหมักสัปปะรด น้ำหมักโคนเห็ด กากน้ำตาล น้ำสะอาด มาเทใส่ลงไปในถังหมัก แล้วคนให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในที่ร่ม 7 วัน จากนั้นก็นำน้ำมะพร้าวมาเทใส่ คนให้เข้ากันก็สามารถนำไปใช้ได้เลย<br />อัตราการใช้และวิธีการใช้<br />จะใช้น้ำหมักเร่งลมเบ่งจำนวน 60 ซีซี ต่อน้ำ 25 ลิตร ต่อ 1 ไร่ โดยระยะเวลาในการฉีดนั้น จะฉีดพ่น 3 ครั้ง โดยจะฉีดน้ำหมักเร่งลมเบ่งให้ข้าวออกร่วงดีในช่วงที่ข้าวมีอายุ 60 วัน 65 วัน และ 90 วัน<br /><br />....หมายเหตุ.....<br />สูตรน้ำหมักโคนเห็ดบำรุงเห็ด<br />วัสดุ-อุปกรณ์<br />1.โคนเห็ดหรือเศษเห็ดหลังจากที่ตัดดอกเสร็จแล้ว จำนวน 2 ส่วน<br />2.กากน้ำตาล จำนวน 1 ส่วน<br />วิธีการทำและการนำไปใช้<br />น้ำทั้งสองอย่างมาคลุกเคล้าให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ในที่ร่มเป็นเวลา 6 เดือนขึ้นไปจึงสามารถนำมาใช้ได้ โดยการนำไปใช้นั้น ใช้จำนวน 20 ซีซี / น้ำ 20 ลิตร<br /><br />สูตรน้ำหมักสับปะรด<br />ส่วนประกอบ คือ สับปะรด 1 ส่วน และกากน้ำตาล 1 ส่วน หมักทิ้งไว้ 1 เดือน สามารถนำมาใช้เป็นส่วนประกอบของน้ำหมักเร่งลมเบ่งให้ข้าวออกร่วงดีได้เลย<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี ( idf 4327 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-52246307309592139482010-02-04T17:08:00.000-08:002010-02-04T17:11:34.544-08:00ทำปุ๋ยใส่นาข้าวจากขี้หมูหลุม<dd>ข้าว(1)ประโยชน์จากการเลี้ยงหมูหลุมโชคสองชั้นของเกษตรกรใช้ประโยชน์ทำปุ๋ย<br /><dd> ข้าว(2)ทำน้ำหมักลาดในคอกหมูหลุมสนใจการทำโทรสอบถามข้อมูล *1677 กด2<br /> <br /> นายบรรดิษฏ์ วันสูงเนิน เกษตรกรบ้านหนองไม้ตาย ม.4 ต.มะเกลือ เก่า อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา มีพื้นที่ทำการเกษตร 40 ไร่ ทำเกษตรผสม ผสาน ปลูกข้าว ไม้ผล เลี้ยงปลา เลี้ยงสัตว์ ฯลฯ ได้แนะนำวิธีการทำปุ๋ย จากมูลหมูหลุมใช้บำรุงนาข้าว <br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN_wR-jzpRBx-mxCBrS1CEyFumtVaFY3pSOx3GwGVKaA0Ix-cZ0vFOSkSx0kw8i0TK0OSoDZJGR1g0X1LDg0xMSv339iCHkvTu4UgDPo_zH9bugINp-qTM__KV347HtS8W13KtoxNUUjo/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiN_wR-jzpRBx-mxCBrS1CEyFumtVaFY3pSOx3GwGVKaA0Ix-cZ0vFOSkSx0kw8i0TK0OSoDZJGR1g0X1LDg0xMSv339iCHkvTu4UgDPo_zH9bugINp-qTM__KV347HtS8W13KtoxNUUjo/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5434560532139260354" /></a><br /><br /><span class="fullpost"><br />การทำปุ๋ยจากมูลหมูหลุมใช้บำรุงนาข้าว การเลี้ยงหมูหลุมในคอกจะขุดหลุมลึกประมาณ 1 เมตร ซึ่งแต่ละชั้นจะมีการนำแกลบดิบมาคลุกเคล้ากับดินเล็กน้อยและราดด้วยน้ำหมัก ชีวภาพ พอหมูถ่ายมูลออกมาสามารถนำมาทำเป็นปุ๋ยได้<br /><br />วัสดุดิบการทำปุ๋ยจากมูลหมูหลุมใช้บำรุงนาข้าว<br />1.ผลไม้สุก + เศษผัก จำนวน 30 กิโลกรัม<br />2.กากน้ำตาล 3 กิโลกรัม<br />3.น้ำหมัก EM 1 แก้ว<br />4.น้ำ 10 ลิตร<br />วิธีการทำ<br />นำส่วนผสมมาหมักไว้ 1 เดือน สามารถนำไปใช้<br />อัตราการใช้<br />น้ำหมัก 1 ลิตร ต่อน้ำ 20 ลิตร<br />การนำไปใช้<br />นำน้ำหมักไปราดพอให้เกิดความชื้นในคอกหมูหลุมก็เพื่อเป็นปุ๋ยไปบำรุงนาข้าว ในขั้นตอนการเตรียมดินในช่วงที่ไถพรวนดินให้ใส่ปุ๋ยคอกผสมลงไป ซึ่งเป็นปุ๋ยที่ได้จากการเลี้ยงหมูหลุมโดยอัตราการใช้ 1 ไร่ ใช้ปุ๋ยหมูหลุมกระสอบละ 30 กิโลกรัม ปริมาณ 20-30 กระสอบ ใช้เพียงครั้งเดียวในช่วงที่เตรียมดินจะช่วยเร่งการเจริญเติบโต ข้าวแข็งแรง ลดต้นทุน<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครราชสีมา ( idf 2853 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-73133376117114836362010-02-03T17:38:00.000-08:002010-02-03T17:40:20.156-08:00การประยุกต์ใช้ก้านกล้วยแห้งทำค้างถั่วฝักยาว<dd>ถั่วฝักยาว1)การประยุกต์ใช้ก้านกล้วยแห้งทำเป็นค้างถั่วแทนการใช้ไม้ไผ่<br /> <dd> ถั่วฝักยาว2)ช่วยประหยัดต้นทุน และก้านกล้วยจะอุ้มน้ำไม่ต้องลดน้ำบ่อย<br /> ถั่ว ฝักยาวเป็นพืชที่ต้องอาศัยค้างเพื่อเกาะพยุงลำต้นให้เจริญเติบโต โดยทั่วไป เกษตรกรจะต้องมีการทำค้างเพื่อให้ถั่วมีหลักยึดในการพันเถาขึ้นไป ส่วนไม้ ที่ใช้สำหรับทำไม้ค้างนั้นใช้ไม้ไผ่ หรือไม้อื่น ๆ ที่หาได้ง่ายในท้อง ถิ่น โดยความยาวของไม้มีความยาวประมาณ 2.5-3 เมตร หรืออาจจะสร้างโครงเสา แล้วใช้ลวดขึงด้านบน และใช้เชือกห้อยลงมายังลำต้นให้ถั่วฝักยาวเลื้อยขึ้น นั่นเอง ซึ่งการใช้วัสดุดังกล่าวทั้งไม้หรือเชือกเป็นค้างทำให้ต้นทุนของ เกษตรกรผู้ปลูกถั่วฝักยาวสูงขึ้นแต่สำหรับคุณลุงบุญลือ เต้าแก้ว เกษตรกร ท่านนี้มีแนวความคิดที่แปลก และไม่เหมือนใคร นั้นก็คือการนำเอา “ก้าน ใบตองแห้ง” มาทำเป็นเถาเพื่อให้ถั่วฝักยาวพันธุ์ยอดขึ้นไปเพื่อเป็นที่ ยึด โดยวิธีการดังนี้<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuDC7iMMF0ja-gHWFMmVIwCZU2m5KpSGH_KxPXtOqI9A1LI5mCPXMzT08AIO97AAG1umw0PE8ZtvwC36NtPUWr-A5Tl9mfhO57FD7MJRD_olsm_woxzZsIKPl75VfiHVKklPkKp4eEM6A/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiuDC7iMMF0ja-gHWFMmVIwCZU2m5KpSGH_KxPXtOqI9A1LI5mCPXMzT08AIO97AAG1umw0PE8ZtvwC36NtPUWr-A5Tl9mfhO57FD7MJRD_olsm_woxzZsIKPl75VfiHVKklPkKp4eEM6A/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5434196992465161618" /></a><br />การประยุกต์ใช้ก้านกล้วยแห้งทำค้างถั่วฝักยาว<br /><span class="fullpost"><br />1.การทำค้างสำหรับถั่วฝักยาวต้องต้องเริ่มทำในบริเวณแปลงถั่วฝักยาว ระยะเวลาการใส่ค้างถั่วฝักยาวนั้นจะเริ่มใส่หลังจากเมล็ดงอกแล้ว 15-20 วัน<br /><br />2.โดยใช้ลำไม้ไผ่ทำเป็นโครงให้มีลักษณะ คือ ไม้ไผ่ 3 ลำ ความยาวตามความต้องการ โดยไม้ไผ่สองลำจะยึดเป็นเสาหลักและพาดด้วยไม้ไผ่อีกลำเพื่อเป็นโครงคล้ายราว ตากผ้า (ดังภาพ)<br /><br />3. นำก้านใบตองแห้งที่ได้เลือกไว้ ฉีกใบตองที่แห้งออกให้หมดเหลือแต่ก้าน นำปลายก้านที่อ่อนมามัดไว้ที่ลำไม้ไผ่ด้านบนให้แน่นเพื่อเป็นค้างแบบ ธรรมชาติ โดยระยะห่างของก้านกล้วยที่นำมาทำค้างให้เหมาะสมกับหลุมปลูกของถั่วฝักยาว เสร็จแล้วจับเถาถั่วฝักยาวให้พันเลื้อยขึ้นค้างในลักษณะ ทวนเข็มนาฬิกา และมัดเถาถั่วฝักยาวด้วยใบกล้วยแห้งให้ยึดติดกับก้านกล้วย<br /><br />โดยคุณลุงบุญลือ กล่าวว่า การที่นำเอา “ก้านใบตองแห้ง” ที่เอาใบตองออกไปหมดแล้วมาเป็นเถาให้ถั่วยึดนั้นก็เหมือนกับการให้พืชนั้น อาศัยธรรมชาติซึ่งกันและกัน อีกอย่างหนึ่งก็คือ เป็นการลดต้นทุนในการหาซื้อไม้ไผ่หรือเชือกที่มีราคาค่อนข้างสูง แต่หันมาใช้สิ่งรอบตัวให้เป็นประโยชน์ และการที่ใช้ก้านใบตองแห้งนั้นสังเกตว่ามือของถั่วที่พันขึ้นไปจะพัน ง่ายกว่า ไม่หลุดออกจากเถา และก้านใบตองจะมีน้ำมีความชื้นไม่แห้งจนเกินไป ทำให้ไม่ต้องรดน้ำบ่อยและดูแลง่าย เป็นการปลูกผักแบบไร้สารพิษได้ 100 % ซึ่งเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่สามารถนำไปใช้ได้ทุกบ้านทุกครัวเรือน รวมทั้ง ยังสามารถดัดแปลงไปใช้ทำค้างให้กับพืชที่มีลักษณะเถาเลื้อยอื่น ๆ ได้ไม่ว่าจะเป็นถั่วพลูหรือบวบ<br /><br />ขอขอบคุณข้อมูลจาก : คุณลุงบุญลือ เต้าแก้ว เกษตรกรสำนึกรักบ้านเกิดปี 2552<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.สระบุรี (IDF4276)<br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-83962225778370085892010-02-03T17:31:00.000-08:002010-02-03T17:38:00.186-08:00การทำฮอร์โมนจิบเบอเรลลินเร่งการเจริญเติบโต<dd> ข้าว(1)การทำฮอร์โมนจิบเบอเรลลินเร่งการเจริญเติบโตจากเมล็ดข้าวเปลือก<br /><dd> ข้าว(2)นำข้าวเปลือกมาแช่น้ำรอให้งอก สนใจวิธีการทำ โทร * 1677 กด2<br /> <br /> การทำเกษตรในปัจจุบันมักมีการใช้สารเคมีเข้ามาเป็นอีกหนึ่ง ปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นการกำจัดศัตรูพืช การบำรุงพืช แต่ที่จังหวัด ตราด เกษตรกรผู้ทำการเกษตรได้ใช้ความรู้ที่เรียนมาลองทำฮอร์โมนจากข้าว<br />เนื่องจากข้าวมีออกซิน ในกลุ่มของจิบเบอเรลลินมีผลทำให้เซลล์ขยายตัว เร่ง การออกดอก การติดผล การงอกของเมล็ด และ ตามธรรมชาติจะพบจิบเบอเรลลินมาก ที่ ส่วนอ่อนของพืชมากที่สุด ดังนั้นการจะทำฮอร์โมนจิบเบอเรลลินไว้ใช้เองจึงควร ทำจากยอดอ่อนของพืช และข้าวจะดีที่สุด <br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCgrWmpMcrngNWQ74sbKJrgZVx4ba-GcseithvogXGFnUDis19mNvCTwOayEG4_drPtHL5WwiL8EXYnq2nmx5szzQJ4rhLSZFnH0qz8ELDmHb27GmOuTDdipSSZ8jpM1XeeRjuHZbQgtY/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhCgrWmpMcrngNWQ74sbKJrgZVx4ba-GcseithvogXGFnUDis19mNvCTwOayEG4_drPtHL5WwiL8EXYnq2nmx5szzQJ4rhLSZFnH0qz8ELDmHb27GmOuTDdipSSZ8jpM1XeeRjuHZbQgtY/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5434196397529893714" /></a><br /><br />วิธีการทำ<br /><span class="fullpost"><br />1.นำข้าวเปลือกให้ที่มีอายุไม่เกิน 1 ปี 3กิโลกรัม แช่น้ำสะอาด (ใส่น้ำให้ท่วมข้าว) 1คืน<br />2.นำขึ้นจากน้ำและคอยรดน้ำเช้าเย็นจนกว่าข้าวจะงอก<br />3.เมื่อข้าวงอกนำมาคลุกกับน้ำตาลทราย 1 กิโลกรัม ใส่ถังเปิดฝาไว้ 1-2 คืน<br />4.หลังจากนั้นเติมน้ำ 10 ลิตร หมักต่อไปอีก 45-90 วัน<br /><br />อัตราการใช้<br />นำมาผสมน้ำฉีดพ่นในสวนผักและผลไม้อัตรา 50-100 ซีซี/น้ำ 20 ลิตร<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.จันทบุรี ( idf 4313 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-4271703028800243102010-02-01T17:29:00.000-08:002010-02-01T17:30:45.201-08:00เคล็ดลับและวิธีการทำกะปิจากปลาน้ำจืด<dd> ปลา(1)เคล็ดลับและวิธีการทำกะปิจากปลาน้ำจืดให้อร่อยและไม่เหม็นคาว<br /> <dd> ปลา(2)สนใจวิธีการทำและข้อมูลต่างๆโทร * 1677<br /> <br /> คุณป้าถนอมศรี คงกิ้ม อายุ 66 ปี เกษตรกรผู้ประกอบอาชีพทำไร่นาสวน ผสมผสานอยู่ที่ บ้านดอนโพธิ์ หมู่ที่ 1 ต. เชียรใหญ่ อ. เชียร ใหญ่ จ. นครศรีธรรมราช แต่ปัจจุบันนี้ด้วยความที่คุณป้าถนอมศรีมีเวลาว่าง จากการทำงาน จึงมีความคิดที่จะแปรรูปปลาที่มีอยู่ในชุมชนแห่งนี้ให้มีคุณค่า มากยิ่งขึ้นและไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายมาก จึงก่อตั้งกลุ่มสตรีในชุมชนได้หัน มาแปรรูปปลาเป็น การทำกะปิปลาน้ำจืด ซึ่งสามารถลดค่าใช้จ่ายในครัวเรือน อีก ทั้งยังสะอาดและถูกหลักอานามัย เพราะเท่าที่ทราบกันดีว่ากะปิที่จำหน่ายกัน โดยทั่วไปจะผลิตมาจากตังเคยหรือกุ้งทะเล เทคนิคและวิธีการทำกะปิปลาน้ำจืด ของคุณป้าถนอมศรีมีรายละเอียดดังนี้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjcSO_WjDGxV9vgIMYbg14FLtmX9IQ_4scimowKti0MphG0L-SCTe02pFSSammPL3nhzbKwwxVBbtQ65xyHD3xkwTzQb6bxK6_3AuWqqu-a1TZb6wh-NGTQbb0bkc3-R_UNJJ8diCEIB8/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhjcSO_WjDGxV9vgIMYbg14FLtmX9IQ_4scimowKti0MphG0L-SCTe02pFSSammPL3nhzbKwwxVBbtQ65xyHD3xkwTzQb6bxK6_3AuWqqu-a1TZb6wh-NGTQbb0bkc3-R_UNJJ8diCEIB8/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433452422896078754" /></a><br /><br />เทคนิคและวิธีการทำกะปิปลาน้ำจืด<br />วัตถุดิบที่ใช้<br /><span class="fullpost"><br />1. ปลาน้ำจืดปลาน้ำจืด 3 กิโลกรัม (เช่น ปลากระดี, ปลาดุก, ปลาซิว เป็นต้น)<br />2. เกลือเม็ด 0.5 กิโลกรัม<br />วิธีการทำ<br />- นำปลาที่ได้มาทำการเอาเครื่องในออกให้หมดแล้วล้างน้ำให้สะอาด 1-2 ครั้ง จากนั้นนำปลาใส่กะละมังพร้อมทั้งใส่น้ำสะอาดให้ท่วมตัวปลาแช่ทิ้งเอาไว้ 1 คืน เพื่อให้ตัวปลาพองตัวมากขึ้น<br />- แล้วนำปลาที่แช่น้ำแล้วมาผสมกับเกลือเม็ดให้เข้ากัน จึงนำปลาไปตากแดดประมาณ 3-4 ชั่วโมง<br />- นำปลาที่ตากแดดแล้วมาผสมให้เข้ากันอีกครั้งหนึ่งในถังหมักพลาสติกที่มีผ่า ปิด และหมักทิ้งเอาไว้ประมาณ 15-20 วันก็นำไปใช้ได้ หรือสังเกตที่บริเวณก้อนกะปิ เกลือจะไม่เป็นก้อน และไม่แตกตัวออก<br />ลักษณะเด่นของกะปิปลาน้ำจืด<br />1. มีรสชาติที่พอดี ไม่เค็มและจืดเกินไป<br />2. นำไปแกงส้ม แกงเลียงทดแทนการใช้กะปิกุ้งได้<br />3. สามารถเก็บรักษาไว้ได้นานประมาณ 6-8 เดือน<br />4. ไม่เป็นอันตรายต่อผู้บริโภค<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตจร *1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช ( idf 3829 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-14980380729166479472010-01-31T17:52:00.000-08:002010-01-31T17:53:53.380-08:00การผลิตน้ำส้มควันไม้สมุนไพร<dd>น้ำส้มควันไม้(1)ในขบวนการผลิตหากมีการเพิ่มสมุนไพรเช่นตระไคร้หอมเข้าไป<br /><dd> น้ำส้มควันไม้(2)จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการนำมาใช้กำจัดแมลงได้ดียิ่งขึ้น<br /> <br /><br />น้ำ ส้มควันไม้มีสารประกอบเป็นกรดอะซิติก มีความเป็นกรดต่ำ มีสีน้ำตาลออกดำและ มีสารประกอบอื่นๆ อีกมาก สามารถนำไปใช้ประโยชน์ทางการเกษตรอย่างมาก มาย เป็นสารปรับปรุงดิน สารป้องกันกำจัดศัตรูพืช สารไล่แมลง และสารเร่งการ เติบโตของพืช เกษตรกรสามารถนำไปฉีดพืช ต้นข้าว ได้อย่างปลอดภัย นอกจากนี้ ยังนำไปใช้ประโยชน์ในทางอุตสาหกรรมได้อีกด้วย<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeG3ORdDIoeu8ABv7idjAF2dm9szDEIoFkCECTxI5qIBGtlWBTYjCLNnyBH4oIXNuaqChBTW92BD99yUaZ3vsZ3SEIXIQK-ERY07t7Jr7Vvn9YFuFvBo7n30ZEGOcndgZD_XjXU7T9UW8/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 298px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgeG3ORdDIoeu8ABv7idjAF2dm9szDEIoFkCECTxI5qIBGtlWBTYjCLNnyBH4oIXNuaqChBTW92BD99yUaZ3vsZ3SEIXIQK-ERY07t7Jr7Vvn9YFuFvBo7n30ZEGOcndgZD_XjXU7T9UW8/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433087310528643986" /></a><br /><span class="fullpost"><br />ในขบวนการผลิตน้ำส้มควันไม้สมุนไพรของหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียงแห่งบ้าน ตระกวน ม.3 ต.พิงพวย อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ เป็นวิธีการกลั่นเอาน้ำส้มควันไม้ซึ่งได้จากการเผาแกลบและพืชสมุนไพร ทำง่าย ใช้เวลาในการเผาถ่านแกลบสั้น ใช้แรงงานเพียงคนเดียว ไม่ต้องใช้คนเฝ้า โดยควบคุมอากาศให้เผาไหม้ได้ตามต้องการ การเผาถ่านเกิดเป็นขี้เถ้าน้อย ถ่านที่ได้มีปริมาณน้ำมันดินทาร์น้อย ได้ปริมาณน้ำส้มควันไม้ในปริมาณที่สูงถึง 80%<br /><br />**วัสดุ/อุปกรณ์**<br />1.ถังน้ำมันเก่าขนาด 200 ลิตร<br /><br />2.แกลบดิบ 2 กระสอบปุ๋ย<br /><br />3.ตะไคร้หอม 5-10 กิโลกรัม<br /><br />4.ขวดน้ำพลาสติก 2 ขวด<br /><br />5.ถังพลาสติกสำหรับเก็บเอาน้ำส้มควันไม้<br /><br /><br />**ขั้นตอนและวิธีการผลิตน้ำส้มควันไม้**<br />1.ดัดแปลงถังน้ำมันเก่า 200 ลิตรโดยต่อท่อออกมาด้านนอกความสูงระดับ 90% ของตัวถังเป็นรูปตัวT ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 3-4 นิ้ว โดยด้านบนจะเป็นปล่องควันและด้านล่างเป็นบริเวณที่ให้น้ำส้มควันไม้หยดออกมา ส่วนฝาปิดถังก็ต่อท่อออกมาเช่นกันความสูงประมาณ 20 เซนติเมตร จากนั้นเจาะรูด้วนสว่านข้างถังทั้ง 3 ด้านเส้นผ่าศูนย์กลาง ¾ นิ้ว(3หุน) สูงจากพื้นด้านล่างประมาณ 20 เซนติเมตรเพื่อระบายอากาศ<br /><br />2.ถังขนาด 200 ลิตรจะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ56 เซนติเมตร สูง 89 เซนติเมตร จะแบ่งใส่วัตถุดิบออกเป็นชั้นๆ ดังนี้<br />-ชั้นที่ 1 และชั้นที่ 3 ใส่แกลบดิบความสูงประมาณ 25 เซนติเมตร<br />-ชั้นที่ 2 และชั้นที่ 4 ใส่ตะไคร้หอมความสูงประมาณ 5 เซนติเมตร<br />-ชั้นที่ 5 เป็นชั้นสุดท้ายให้เทแกลบดิบใส่ลงไปในถังให้เต็ม<br /><br />3.จุดไฟเผาแกลบและปิดฝาถังโดยปล่อยให้ควันลอยออกมาทางปล่องควันที่ต่อออกมา ประมาณ 1 ชั่วโมง สังเกตลักษณะของควันที่เผาไหม้ว่าอยู่ในระดับที่จะสามารถกลั่นออกมาเป็นน้ำ ส้มควันไม้ได้หรือไม่โดยสังเกตจากช่วงที่ควันมีสีขาวขุ่น อุณหภูมิปากปล่องระหว่าง 80-150 องศาเซลเซียส เป็นช่วงที่ผลผลิตจะมีคุณภาพดีที่สุด<br /><br />4.ทำการปิดปากปล่องควันด้านบนโดยใช้ขวดพลาสติกบรรจุน้ำเปล่าปิดรูไว้ทั้ง 2 ปล่อง ควันที่ร้อนภายในเมื่อกระทบความเย็นจะเริ่มควบแน่นประมาณ 10 นาที จากนั่นกลั่นตัวออกมาเป็นหยดน้ำไหลออกมาทางด้านล่างของปล่องควันจะได้น้ำส้ม ควันไม้สมุนไพรบริสุทธิ์โดยใช้เวลาเผาไหม้ทั้งหมด 1 วันกับอีก 1 คืน<br /><br />5.ปริมาณของวัตถุดิบสามารถผลิตน้ำส้มควันไม้ได้ 15 ลิตร ใช้ผ้าขาวบางกรองเอาเฉพาะน้ำส้มควันไม้เก็บไว้ใช้งานต่อไปได้<br /><br />**การนำไปใช้งาน**<br />1.ด้านการเกษตร<br /><br />-การป้องกันโรครากและโคนเน่าจากเชื้อรา โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1:100 ฉีดพ่นลงดินก่อนการปลูกพืช 15 วัน<br /><br />-เร่งการเจริญเติบโตและกระตุ้นความต้านทานโรค โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1: 200 ราดโคนต้นทุก 7-15 วัน<br /><br />-การป้องกันศัตรูพืช ขับไล่แมลงทุกชนิดและเชื้อรา โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1: 200 ฉีดพ่นที่ใบทุก 7-15 วัน<br /><br />-ช่วยในการสังเคราะห์น้ำตาลของพืช(ช่วยให้พืชผักและผลไม้มีรสหวาน) โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1: 500 ฉีดพ่นที่ผลอ่อนหลังติดผลแล้ว 15 วัน และพ่นอีกครั้งก่อนเก็บเกี่ยว 20 วัน<br /><br />-ป้องกันมดและแมลง โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1:20 หรือเข้มข้น ราดหรือพ่นบริเวณที่มี<br /><br />-แก้โรคเชื้อราในยางพารา โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1:20 ทาที่หน้ายางพารา<br /><br />2.ด้านปศุสัตว์และสิ่งแวดล้อม<br /><br />-ขับไล่เห็บหมัด รักษาโรคเรื้อนของสัตว์ โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1:1 นำไปฉีดพ่นที่ตัวสัตว์สัปดาห์ละ 2-3 ครั้ง<br /><br />-กำจัดกลิ่นและขับไล่แมลงในคอกสัตว์ โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1: 100 ราดพื้นคอกสัตว์ทุก 7 วัน<br /><br />-กำจัดกลิ่นขยะและป้องกันไม่ให้แมลงวางไข่ โดยผสมน้ำในอัตราส่วน 1:100 ราดหรือพ่นกองขยะ<br /><br />ข้อควรระวังในการ ใช้น้ำส้มควันไม้<br />1.ก่อนนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องทิ้งไว้ในที่ร่มเพื่อให้ตกตะกอนอย่างน้อย 3 เดือน<br />2.เนื่องจากน้ำส้มควันไม้มีความเป็นกรดสูง ระวังอย่าให้เข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้<br />3.น้ำส้มควันไม้เป็นตัวเร่งปฎิกิริยาของพืช การนำไปใช้ทางการเกษตรจะเป็นตัวเสริมประสิทธิภาพ<br />ให้กับพืชแต่ไม่สามารถใช้แทนปุ๋ยได้<br />4.การใช้เพื่อฆ่าเชื้อจุลินทรีย์และแมลงในดิน ควรทำก่อนเพาะปลูกอย่างน้อย 10 วัน<br />5.การนำน้ำส้มควันไม้ไปใช้ต้องผสมน้ำให้เจือจางตามความเหมาะสมที่จะนำไปใช้<br />6.การฉีดพ่นน้ำส้มควันไม้ เพื่อให้ดอกติดผล ควรพ่นก่อนที่ดอกจะบาน หากฉีดพ่นหลังจากดอกบานแมลงจะไม่เข้ามาผสมเกสร เพราะกลิ่นฉุนของน้ำส้มควันไม้และดอกจะร่วงง่าย<br /><br /><br />*************************************************************************<br />ขอบคุณข้อมูลจาก : คุณวุฒิชัย สัตพันธุ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่3 บ้านตระกวน ต.พิงพวย อ.ศรีรัตนะ จ.ศรีสะเกษ รางวัลหมู่บ้านเศรษฐกิจพอเพียง<br /><br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.อุบลราชธานี (IDF3553)<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-73638047404822725502010-01-31T17:50:00.000-08:002010-01-31T17:52:05.361-08:00ปุ๋ยบำรุงข้าวสูตร 2 พลัง<dd> ข้าว(1)สูตรปุ๋ย 2 พลัง 1.เร่งการเจริญเติบโตการแตกกอต้นข้าว<br /><dd> ข้าว(2)2.ป้องกันกำจัดเพลี้ยกระโดดในนาข้าว สนใจโทร * 1677 กด 2<br /> <br /> จากประสบการณ์การทำนามากว่าค่อนชีวิตของคุณพ่อถิน สีท้าว เกษตรกร บ้านนาทอง ต.นาทอง อ.เชียงยืน จ.มหาสารคาม ได้นำประสบการณ์มาปรับใช้ในการทำ นาเพื่อที่ลดต้นทุนเพิ่มรายได้ในพื้นที่โดยการทำปุ๋ยสูตร์ 2 ผลังที่สามารถ เพิ่มปริมาณจุรินทรีย์ในดินเพื่อที่จะย่อยสลายธาตุอาหารให้พืชได้นำไปใช้ได้ อย่างเต็มประสิทธิภาพ อีกทั้งยังได้นำพืชสมุนไพรที่มีคุณสมบัติในการป้องกัน และกำจัดแมลงในนาข้าวมาเป็นส่วนผสมในการทำปุ๋ยหมักสูตร 2 ผลัง ชึ่งมีส่วน ผสมดังนี้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuq37PcROy0qi5Z7tlMO4USAof9NNNhG7bSh7SGHjpeI1KZyZxQoEx_vSOF-853UmV5Z6ZIt3wNxK3xkfGS3OQjFoUpvsn-ryuj0lgq96s6J-Kg7S_QxL4-fGW_gK0ieCvtAv9uSATaKk/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjuq37PcROy0qi5Z7tlMO4USAof9NNNhG7bSh7SGHjpeI1KZyZxQoEx_vSOF-853UmV5Z6ZIt3wNxK3xkfGS3OQjFoUpvsn-ryuj0lgq96s6J-Kg7S_QxL4-fGW_gK0ieCvtAv9uSATaKk/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5433086827233035554" /></a><br />วัสดุ<br /><span class="fullpost"><br />1.ใบก้ามปู 3 กก.<br />2.ใบหม่อน 3 กก.<br />3.ใบสะเดา 1 กก.<br />4.ใบตะไคร้หอม 1 กก.<br />5.ฝักคูณแก่ 1 กก.<br />6.เครือบรเพชร 1 กก.<br />7.ยาฉุน 2 ขีด<br />8.น้ำชาวข้าว(ใส่พอท่วม)<br />9.กากน้ำตาล 1.5 ลิตร<br />10.ถังหมัก<br />ขั้นตอนการทำ<br />นำส่วนผสมตามข้อ 1-7 มาหมักรวมกันในถังหมักที่เตรียมไว้ หลังจากนั้นเทกากน้ำตาลตามลงไป แล้วตามด้วยน้ำชาวข้าวใส่พอท่วมวัสดุในถังหมัก พอครบทุงอย่างคนให้เข้ากันแล้วปิดผาถังหมักทิ้งไว้ 1 เดือน พอครบ 1 เดือนกรองเอาแต่น้ำไปฉีดพ่นในนาข้าว น้ำหมักที่ได้จาก ใบก้ามปู และใบหม่อน จะปุ๋ยทางใบให้ต้นข้าวมีใบสีเขียวมีการเจริญเติบได้ดี<br />ในส่วนผสมของพืชสมุนไพรจะช่วยป้องกันโรคแมลงในนาข้าวโดยเฉพาะอย่างยิ่งแล้ว เพี้ยกระโดดสีน้ำตาลที่สร้างปัญหาให้กับเกษตรถ้าใช้ปุ๋ยน้ำหมักสูตร 2 พลังหมดปัญหาไปสองอย่าง<br />อัตราส่วนที่ใช้<br />ปุ๋ยน้ำหมัก 1 ลิตรผสมกับน้ำเปล่า 20 ลิตร ฉีดพ่นในนาข้าวจะช่วยในเร่งการเจริญเติบของต้นข้าว และช่วยในการป้องกันและกำจัดแมลงต่างๆในแปลงนาข้าวและ<br /><br />ปล. กากที่ได้จากการหมักจะในไปใช้แปลงนาในช่วงการเตรียมดินจะทำให้ดินมีความร่วน ชุยเพิ่มปริมาณจุรินทรีย์ในดินช่วยให้ต้นข้าวมีการเจริญเติบโตได้ดี<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร *1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.ขอนแก่น </span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com1tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-14266809070773074682010-01-28T18:11:00.000-08:002010-01-28T18:16:03.384-08:00ฝนหลวง<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieLAQE6wTPpoB4l6zlD8d6CrCCRoGrkN2qaRu_NYQ2glawd21hOoeBvdgSBM_owCuQc84BRURIlciK0I54aWg6WbnF6kWhAL7JnyiBR-nad0VEBr3dJb7lkzrzCl2ZoM43aozRvUD60Bs/s1600-h/fr2.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 278px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEieLAQE6wTPpoB4l6zlD8d6CrCCRoGrkN2qaRu_NYQ2glawd21hOoeBvdgSBM_owCuQc84BRURIlciK0I54aWg6WbnF6kWhAL7JnyiBR-nad0VEBr3dJb7lkzrzCl2ZoM43aozRvUD60Bs/s320/fr2.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431979588476173874" /></a><br /><br />“...แต่มาเงยดูท้องฟ้า มีเมฆ ทำไมมีเมฆอย่างนี้ ทำไมจะดึงเมฆนี้ให้ลงมาได้ ก็เคยได้ยินเรื่องการทำฝน ก็มาปรารภกับคุณเทพฤทธิ์ ฝนทำได้มีหนังสือ เคยอ่านหนังสือทำได้...”<br /><br />โครงการฝนหลวง<br /><br />เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วนพระองค์ ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในปี พ.ศ.2495 เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมพสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ได้ทรงรับทราบถึงความเดือดร้อน ความทุกข์ยากของราษฎรและเกษตรกรที่ขาดแคลนน้ำอุปโภค บริโภค และการเกษตรอันเนื่องมาจากภาวะภัยแล้ง ซึ่งมีสาเหตุมาจากความผันแปรและคลาดเคลื่อนของฤดูกาลตามธรรมชาติ กล่าวคือ ฤดูฝนเริ่มต้นล่าช้าเกินไป หรือหมดเร็วกว่าปรกติหรือฝนทิ้งช่วงยาวในช่วงฤดูฝน รวมทั้งการตัดไม้ทำลายป่า<br /><span class="fullpost"><br />ทรงสังเกตเห็นว่ามีเมฆปริมาณมากปกคลุมท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้ จึงได้มีพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานโครงการพระราชดำริ “ฝนหลวง” ให้กับ ม.ร.ว.เทพฤทธิ์ เทวกุล ไปดำเนินการ ซึ่งต่อมาได้เกิดเป็นโครงการค้นคว้าทดลองปฏิบัติการฝนเทียม หรือฝนหลวงขึ้น ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2512 โดยทดลองหยอดก้อนน้ำแข็งแห้ง (dry ice หรือ solid carbondioxide) ขนาดไม่เกิน 1 ลูกบาศก์นิ้ว เข้าไปในยอดเมฆสูงไม่เกิน 10,000 ฟุต ที่ลอยกระจัดกระจายอยู่เหนือพื้นที่ทดลองในขณะนั้น ทำให้กลุ่มเมฆทดลองเหล่านั้น มีการเปลี่ยนแปลงทางฟิสิกส์ของเมฆอย่างเห็นได้ชัดเจน เกิดการกลั่นรวมตัวกันหนาแน่นและก่อยอดสูงขึ้นเป็นเมฆฝนขนาดใหญ่และจากการ ติดตามผลโดยการสำรวจทางภาคพื้นดิน ก็ได้รับรายงานยืนยันด้วยวาจาจากกราษฎรว่า เกิดฝนตกลงสู่พื้นที่ทดลองอุทยานเขาใหญ่ในที่สุด นับเป็นนิมิตหมายบ่งชี้ให้เห็นว่า การบังคบเมฆให้เกิดฝนเป็นสิ่งที่เป็นไปได้<br />ด้วยความสำเร็จของโครงการ จึงได้ตราพระราชกฤษฎีกา ก่อตั้งสำนักงานปฏิบัติการฝนหลวงขึ้น ในปี พ.ศ. 2518 ในสังกัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เพื่อเป็นหน่วยงานรองรับโครงการพระราชดำริ “ ฝนหลวง” ต่อไป<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaXJaDFH52wL8fduQ4g2kAZhUIO0cggYw3EPgVM-ym_mC0YGH3Gbjo3jP_420oOdCbNyvYA_oBFc4kNVrVHredfh3QF2_B3d1LJYjX98K2-65yZEa4NVSCST3XJliHvagLOJJ0xdoWq_A/s1600-h/fr1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjaXJaDFH52wL8fduQ4g2kAZhUIO0cggYw3EPgVM-ym_mC0YGH3Gbjo3jP_420oOdCbNyvYA_oBFc4kNVrVHredfh3QF2_B3d1LJYjX98K2-65yZEa4NVSCST3XJliHvagLOJJ0xdoWq_A/s320/fr1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431979591158028738" /></a><br /><br /><br />ขั้นตอนการทำฝนหลวงจากเมฆอุ่น<br /><br />จากการที่ทรงติดตามผลการทดลอง ควบคู่กับปฏิบัติการและทรงวิเคราะห์วิจัยติดตามปฏิบัติการทดลองอย่างใกล้ชิด รวมทั้งสนพระทัยศึกษาจากเอกสารวิชาการจึงทรงสามารถพัฒนากรรมวิธี “การทำฝนจากเมฆอุ่น” ที่ทรงสรุปขั้นตอนกรรมวิธี ในปี พ.ศ. 2516 แล้วพระราชทานให้ไปเป็นหลักในการปฏิบัติการสืบเนื่องมา<br />โดยมี 3 ขั้นตอน คือ<br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3kKWdwymqhyxaDgqHWRykgqR6EJGhcXT_SStGEl3AqgfkwkhbtPyhwf0FpwOfJLRfnME3gEu7dMmJZtREsyQ0VT8srhDgiAROo43nafkpWX2FsMKkeXloCkdUqSLgtMslwk8mKUPPUGg/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 264px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi3kKWdwymqhyxaDgqHWRykgqR6EJGhcXT_SStGEl3AqgfkwkhbtPyhwf0FpwOfJLRfnME3gEu7dMmJZtREsyQ0VT8srhDgiAROo43nafkpWX2FsMKkeXloCkdUqSLgtMslwk8mKUPPUGg/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431979578092033234" /></a><br /><br />ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวน<br /><br />เป็นการดัดแปรสภาพอากาศขณะนั้นเพื่อเร่งหรือเสริมการเกิดและก่อรวมตัวของ เมฆด้วยการก่อกวนสมดุล (Equilibrium) หรือเสถียรภาพ (Stability) ของมวลอากาศเป็นแห่งๆ โดยการโปรยสารเคมีประเภทดูดความชื้นแล้วทำให้อุณหภูมิสูงขึ้น ในท้องฟ้าที่ระดับใกล้เคียงกับระดับกลั่นตัวเนื่องจาก การไหลพาความร้อนในแนวตั้ง (Exothermic chemicals) ซึ่งเป็นระดับฐานเมฆของแต่ละวัน และโปรยสารเคมี ประเภทที่เมื่อดูดซับความชื้นแล้วทำให้อุณหภูมิลดต่ำลง (Endothermic, chemicals) ที่ระดับสูงกว่าระดับฐานเมฆ 2,000-3,000 ฟุต ทั้งนี้เพื่อช่วยให้เกิดเมฆเร็วขึ้นและปริมาณมากกว่าที่เกิดตามธรรมชาติ โดยเริ่มก่อกวนในช่วงเวลาเช้าทางด้านเหนือลมของพื้นที่เป้าหมาย หวังผลที่วางแผนกำหนดไว้ในแต่ละวัน<br /><br />ขั้นตอนที่ 2 เลี้ยงให้อ้วน<br /><br />เป็นการดัดแปรสภาพอากาศและเมฆขณะนั้น เพื่อเร่งหรือเสริมการก่อตัวของเมฆให้ขนาดใหญ่หนาแน่น และมีปริมาณหยดน้ำมากยิ่งขึ้น ด้วยการกระตุ้นหรือเร่งการเจริญเติบโตของก้อนเมฆ ที่ก่อตัวด้วยการโปรยสารเคมีประเภทที่เมื่อดูดซับความชื้น แล้วทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงที่ระดับฐานเมฆหรือทับยอดเมฆ หรือระหว่างฐานและยอดเมฆ โดยบินโปรยสารเคมีเข้าสู่ก้อนเมฆโดยตรง หรือโปรยรอบๆ และระหว่างช่องว่างของก้อนเมฆทางด้านเหนือลมให้กระแสลมพัดพาสารเคมีเข้าสู่ ก้อนเมฆ<br /><br />ขั้นตอนที่ 3 โจมตี<br /><br />เป็นการดัดแปรสภาพอากาศในก้อนเมฆ ที่รวมหนาแน่นแล้วโดยตรงหรือบริเวณใต้ฐานเมฆ หรือบริเวณที่ต้องการชักนำเมฆฝนที่ตกอยู่แล้วเคลื่อนเข้าสู่เป็นการบังคับ หรือเหนี่ยวนำให้เมฆที่แก่ตัวจัด แล้วตกเป็นฝนลงสู่พื้นที่เป้าหมายหวังผลที่วางแผนกำหนดไว้ โดยบินโปรยสารเคมีประเภทที่ทำให้อุณหภูมิลดต่ำลงเข้าไปในเมฆโดยตรงที่ฐานเมฆ หรือยอดเมฆหรือที่ระดับระหว่างฐานเมฆและยอดเมฆชิดขอบเมฆทางด้านเหนือลมหรือ ใช้เครื่องบิน 2 เครื่องโปรยพร้อมกันแบบแซนด์วิช ( Sandwich)</span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-57642953050207854102010-01-28T18:05:00.000-08:002010-01-28T18:10:39.803-08:00เศรษฐกิจพอเพียง<font color="blue"size="3"><center>จุดเริ่มต้นแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง</center></font><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-QsmSWaD2znbbi1eSBrsT-xfD87E4pIPFcA7vg7FZdWM3m8JfNEPFT5MCuaGou-TnTpt9uN2ZIGj84xB6fvbuU3b1VTkwpaYCU0JRWZeqhGDHziqrfmmUmXO7QTEhFpL2a6i62cr2We0/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 214px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh-QsmSWaD2znbbi1eSBrsT-xfD87E4pIPFcA7vg7FZdWM3m8JfNEPFT5MCuaGou-TnTpt9uN2ZIGj84xB6fvbuU3b1VTkwpaYCU0JRWZeqhGDHziqrfmmUmXO7QTEhFpL2a6i62cr2We0/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431978010815360450" /></a><br /><br />ผล จากการใช้แนวทางการพัฒนาประเทศไปสู่ความทันสมัย ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแก่สังคมไทยอย่างมากในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม สังคมและสิ่งแวดล้อม อีกทั้งกระบวนการของความเปลี่ยนแปลงมีความสลับซับซ้อนจนยากที่จะอธิบายใน เชิงสาเหตุและผลลัพธ์ได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดต่างเป็นปัจจัยเชื่อมโยงซึ่งกันและกัน<br />สำหรับ ผลของการพัฒนาในด้านบวกนั้น ได้แก่ การเพิ่มขึ้นของอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ความเจริญทางวัตถุ และสาธารณูปโภคต่างๆ ระบบสื่อสารที่ทันสมัย หรือการขยายปริมาณและกระจายการศึกษาอย่างทั่วถึงมากขึ้น แต่ผลด้านบวกเหล่านี้ส่วนใหญ่กระจายไปถึงคนในชนบท หรือผู้ด้อยโอกาสในสังคมน้อย<br /><span class="fullpost">แต่ว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสังคมได้เกิดผลลบติดตามมาด้วย เช่น การขยายตัวของรัฐเข้าไปในชนบท ได้ส่งผลให้ชนบทเกิดความอ่อนแอในหลายด้าน ทั้งการต้องพึ่งพิงตลาดและพ่อค้าคนกลางในการสั่งสินค้าทุน ความเสื่อมโทรมของทรัพยากรธรรมชาติ ระบบความสัมพันธ์แบบเครือญาติ และการรวมกลุ่มกันตามประเพณีเพื่อการจัดการทรัพยากรที่เคยมีอยู่แต่เดิมแตก สลายลง ภูมิความรู้ที่เคยใช้แก้ปัญหาและสั่งสมปรับเปลี่ยนกันมาถูกลืมเลือนและเริ่ม สูญหายไป<br />สิ่งสำคัญ ก็คือ ความพอเพียงในการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ทำให้คนไทยสามารถพึ่งตนเอง และดำเนินชีวิตไปได้อย่างมีศักดิ์ศรีภายใต้อำนาจและความมีอิสระในการกำหนด ชะตาชีวิตของตนเอง ความสามารถในการควบคุมและจัดการเพื่อให้ตนเองได้รับการสนองตอบต่อความต้อง การต่างๆ รวมทั้งความสามารถในการจัดการปัญหาต่างๆ ได้ด้วยตนเอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถือว่าเป็นศักยภาพพื้นฐานที่คนไทยและสังคมไทยเคยมีอยู่แต่ เดิม ต้องถูกกระทบกระเทือน ซึ่งวิกฤตเศรษฐกิจจากปัญหาฟองสบู่และปัญหาความอ่อนแอของชนบท รวมทั้งปัญหาอื่นๆ ที่เกิดขึ้น ล้วนแต่เป็นข้อพิสูจน์และยืนยันปรากฎการณ์นี้ได้เป็นอย่างดี<br /><br />พระราชดำริว่าด้วยเศรษฐกิจพอเพียง<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdXbctpwXiWiCrfAyII1JPONR9zB3lhC4ltLt218ooSkEjZMKtKkn3Ta7sfsbP5InBiXsWy6mcCjovGIV3XOaVbZXtrNw3-x6y0x0nX_UC1GsVO-VwnUwY1Fi1WMKo9XjwaklUU5533-o/s1600-h/fr1.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 240px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhdXbctpwXiWiCrfAyII1JPONR9zB3lhC4ltLt218ooSkEjZMKtKkn3Ta7sfsbP5InBiXsWy6mcCjovGIV3XOaVbZXtrNw3-x6y0x0nX_UC1GsVO-VwnUwY1Fi1WMKo9XjwaklUU5533-o/s320/fr1.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431978354823740498" /></a><br /><br />“...การ พัฒนาประเทศจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น ต้องสร้างพื้นฐานคือ ความพอมี พอกิน พอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่เบื้องต้นก่อน โดยใช้วิธีการและอุปกรณ์ที่ประหยัดแต่ถูกต้องตามหลักวิชาการ เมื่อได้พื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควร และปฏิบัติได้แล้ว จึงค่อยสร้างค่อยเสริมความเจริญ และฐานะทางเศรษฐกิจขั้นที่สูงขึ้นโดยลำดับต่อไป...” (๑๘ กรกฎาคม ๒๕๑๗)<br />“เศรษฐกิจพอเพียง” เป็นแนวพระราชดำริในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานมานานกว่า ๓๐ ปี เป็นแนวคิดที่ตั้งอยู่บนรากฐานของวัฒนธรรมไทย เป็นแนวทางการพัฒนาที่ตั้งบนพื้นฐานของทางสายกลาง และความไม่ประมาท คำนึงถึงความพอประมาณ ความมีเหตุผล การสร้างภูมิคุ้มกันในตัวเอง ตลอดจนใช้ความรู้และคุณธรรม เป็นพื้นฐานในการดำรงชีวิต ที่สำคัญจะต้องมี “สติ ปัญญา และความเพียร” ซึ่งจะนำไปสู่ “ความสุข” ในการดำเนินชีวิตอย่างแท้จริง<br />“...คนอื่นจะว่าอย่างไรก็ช่างเขา จะว่าเมืองไทยล้าสมัย ว่าเมืองไทยเชย ว่าเมืองไทยไม่มีสิ่งที่สมัยใหม่ แต่เราอยู่พอมีพอกิน และขอให้ทุกคนมีความปรารถนาที่จะให้เมืองไทย พออยู่พอกิน มีความสงบ และทำงานตั้งจิตอธิษฐานตั้งปณิธาน ในทางนี้ที่จะให้เมืองไทยอยู่แบบพออยู่พอกิน ไม่ใช่ว่าจะรุ่งเรืองอย่างยอด แต่ว่ามีความพออยู่พอกิน มีความสงบ เปรียบเทียบกับประเทศอื่นๆ ถ้าเรารักษาความพออยู่พอกินนี้ได้ เราก็จะยอดยิ่งยวดได้...” (๔ ธันวาคม ๒๕๑๗)<br />พระบรมราโชวาทนี้ ทรงเห็นว่าแนวทางการพัฒนาที่เน้นการขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศเป็นหลักแต่เพียงอย่างเดียวอาจจะเกิดปัญหาได้ จึงทรงเน้นการมีพอกินพอใช้ของประชาชนส่วนใหญ่ในเบื้องต้นก่อน เมื่อมีพื้นฐานความมั่นคงพร้อมพอสมควรแล้ว จึงสร้างความเจริญและฐานะทางเศรษฐกิจให้สูงขึ้น<br />ซึ่งหมายถึง แทนที่จะเน้นการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมนำการพัฒนาประเทศ ควรที่จะสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจพื้นฐานก่อน นั่นคือ ทำให้ประชาชนในชนบทส่วนใหญ่พอมีพอกินก่อน เป็นแนวทางการพัฒนาที่เน้นการกระจายรายได้ เพื่อสร้างพื้นฐานและความมั่นงคงทางเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ก่อนเน้นการพัฒนาในระดับสูงขึ้นไป<br />ทรงเตือนเรื่องพออยู่พอกิน ตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ คือ เมื่อ ๓๐ กว่าปีที่แล้ว<br />แต่ทิศทางการพัฒนามิได้เปลี่ยนแปลง<br />“...เมื่อ ปี ๒๕๑๗ วันนั้นได้พูดถึงว่า เราควรปฏิบัติให้พอมีพอกิน พอมีพอกินนี้ก็แปลว่า เศรษฐกิจพอเพียงนั่นเอง ถ้าแต่ละคนมีพอมีพอกิน ก็ใช้ได้ ยิ่งถ้าทั้งประเทศพอมีพอกินก็ยิ่งดี และประเทศไทยเวลานั้นก็เริ่มจะเป็นไม่พอมีพอกิน บางคนก็มีมาก บางคนก็ไม่มีเลย...” (๔ ธันวาคม ๒๕๔๑)<br /><br />เศรษฐกิจพอเพียง<br />“เศรษฐกิจ พอเพียง” เป็นปรัชญาที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระราชดำริชี้แนะแนวทาง การดำเนินชีวิตแก่พสกนิกรชาวไทยมาโดยตลอดนานกว่า ๒๕ ปี ตั้งแต่ก่อนเกิดวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจ และเมื่อภายหลังได้ทรงเน้นย้ำแนวทางการแก้ไขเพื่อให้รอดพ้น และสามารถดำรงอยู่ได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนภายใต้กระแสโลกาภิวัตน์และความ เปลี่ยนแปลงต่างๆ<br /><br />ปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง<br />เศรษฐกิจ พอเพียง เป็นปรัชญาชี้ถึงแนวการดำรงอยู่และปฏิบัติตนของประชาชนในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับครอบครัว ระดับชุมชน จนถึงระดับรัฐ ทั้งในการพัฒนาและบริหารประเทศให้ดำเนินไปในทางสายกลาง โดยเฉพาะการพัฒนาเศรษฐกิจ เพื่อให้ก้าวทันต่อโลกยุคโลกาภิวัตน์ ความพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล รวมถึงความจำเป็นที่จะต้องมีระบบภูมิคุ้มกันในตัวที่ดีพอสมควร ต่อการกระทบใดๆ อันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงทั้งภายในภายนอก ทั้งนี้ จะต้องอาศัยความรอบรู้ ความรอบคอบ และความระมัดระวังอย่างยิ่งในการนำวิชาการต่างๆ มาใช้ในการวางแผนและการดำเนินการ ทุกขั้นตอน และขณะเดียวกัน จะต้องเสริมสร้างพื้นฐานจิตใจของคนในชาติ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ของรัฐ นักทฤษฎี และนักธุรกิจในทุกระดับ ให้มีสำนึกในคุณธรรม ความซื่อสัตย์สุจริต และให้มีความรอบรู้ที่เหมาะสม ดำเนินชีวิตด้วยความอดทน ความเพียร มีสติ ปัญญา และความรอบคอบ เพื่อให้สมดุลและพร้อมต่อการรองรับการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทั้งด้านวัตถุ สังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมจากโลกภายนอกได้เป็นอย่างดี<br />ความหมายของเศรษฐกิจพอเพียง จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ ดังนี้<br />๑. ความพอประมาณ หมายถึง ความพอดีที่ไม่น้อยเกินไปและไม่มากเกินไป โดยไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น เช่น การผลิตและการบริโภคที่อยู่ในระดับพอประมาณ<br />๒. ความมีเหตุผล หมายถึง การตัดสินใจเกี่ยวกับระดับความพอเพียงนั้น จะต้องเป็นไปอย่างมีเหตุผล โดยพิจารณาจากเหตุปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนคำนึงถึงผลที่คาดว่าจะเกิดขึ้นจากการกระทำนั้นๆ อย่างรอบคอบ<br />๓. ภูมิคุ้มกัน หมายถึง การเตรียมตัวให้พร้อมรับผลกระทบและการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น โดยคำนึงถึงความเป็นไปได้ของสถานการณ์ต่างๆ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต<br /><br />โดยมี เงื่อนไข ของการตัดสินใจและดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้อยู่ในระดับพอเพียง ๒ ประการ ดังนี้<br />๑. เงื่อนไขความรู้ ประกอบด้วย ความรอบรู้เกี่ยวกับวิชาการต่างๆ ที่เกี่ยวข้องรอบด้าน ความรอบคอบที่จะนำความรู้เหล่านั้นมาพิจารณาให้เชื่อมโยงกัน เพื่อประกอบการวางแผนและความระมัดระวังในการปฏิบัติ<br />๒. เงื่อนไขคุณธรรม ที่จะต้องเสริมสร้าง ประกอบด้วย มีความตระหนักใน คุณธรรม มีความซื่อสัตย์สุจริตและมีความอดทน มีความเพียร ใช้สติปัญญาในการดำเนินชีวิต<br /><br />ที่มา จากมูลนิธิชัยพัฒนา</span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-5438975066604800902010-01-27T18:24:00.000-08:002010-01-27T18:26:40.108-08:00การใช้ปูนขาวป้องกันโรคแคงเกอร์ในมะนาว<dd> มะนาว(1)แก้ปัญหาโรคแคงเกอร์นำปูนขาว3ช้อนโต๊ะ+น้ำ20ลิตรทิ้งไว้จนตกตะกอน<br /><dd> มะนาว(2)นำน้ำปูนที่ได้ฉีดพ่นต้นมะนาวให้ชุ่มทั้งต้น เดือนละ 1 ครั้ง<br /> <br />การ ปลูกมะนาวในปัจจุบันถือว่าเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่ได้รับความสนใจเป็นอย่าง มาก อย่างเช่นการปลูกมะนาวในท่อซีเมนต์ ซึ่งเกษตรกรสามารถบังคับให้มะนาวออก ผลผลิตนอกฤดูกาลได้ แต่ปัญหาเรื่องโรคในการปลูกมะนาวที่เกษตรกรประสบกันอยู่ ก็คือโรคแคงเกอร์ ซึ่งเป็นโรคที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียเข้าทำลายใบและผล ทำ ให้ผลผลิตลดน้อยลงและขายได้ในราคาที่ไม่ดี <br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-0UGzhWcl12Jd9JBmd_9tVMj7GVRaNkbpS5vgtPN_tTlUZ_i1uZyhQAHWA4DuoddbhqeNAoJ1QIee9bQlC28hgjMM-plFCgIiR5urJGayjdjV4J1CI4sG8JGfvk1ypx3cZwaCwj7czjg/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 320px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEi-0UGzhWcl12Jd9JBmd_9tVMj7GVRaNkbpS5vgtPN_tTlUZ_i1uZyhQAHWA4DuoddbhqeNAoJ1QIee9bQlC28hgjMM-plFCgIiR5urJGayjdjV4J1CI4sG8JGfvk1ypx3cZwaCwj7czjg/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431611402370816082" /></a><br /><span class="fullpost"><br />จากการที่เจ้าหน้าที่ได้ลงพื้นที่พบกับ คุณลุงประเสริฐ ศรีกุล เกษตรกรที่ปลูกมะนาวในท่อซีเมนต์ อยู่ในพื้นที่ อ.พระพรหม จ.นครศรีธรรมราช และที่สำคัญที่บ้านของคุณลุงประเสริฐยังเป็นจุดเรียนรู้ทางด้านการเกษตร การปลูกมะนาวอินทรีย์ในท่อซีเมนต์ เครือข่ายของสำนักงานเกษตร อ.พระพรหม ซึ่งคุณลุงประเสริฐ ได้แนะนำถึงวิธีการแก้ปัญหาโรคแคงเกอร์ ให้กับทางเจ้าหน้าที่ได้ทราบ โดยมีรายละเอียดดังนี้<br /><br />การแก้ปัญหาโรคแคงเกอร์ด้วยปูนขาว<br />- ให้เรานำปูนขาว 3 ช้อนโต๊ะ ,น้ำ 20 ลิตร นำมาผสมให้เข้ากันตั้งไว้ให้ตกตะกอน แล้วให้ตักน้ำปูนขาวที่ได้นำไปฉีดพ่นที่ต้นมะนาวให้ชุ่มทั้งต้น แค่นี้ก็สามารถแก้ปัญหาโรคแคงเกอร์ได้แล้ว ระยะเวลาในการฉีดพ่นประมาณเดือนละครั้งก็สามารถป้องกันและกำจัดโรคแคงเกอร์ ในมะนาวได้ เป็นการลดค่าใช้จ่ายและลดในเรื่องการใช้สารเคมี ปลอดภัยต่อตัวเกษตรกรเองและผู้บริโภคด้วย<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลทางการเกษตร*1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.นครศรีธรรมราช (IDF 3653)<br /><br /><br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-5633235077398128379.post-74677340989530618102010-01-27T18:23:00.000-08:002010-01-27T18:24:48.736-08:00การทำไอศกรีมข้าวกล้องงอก<dd> ข้าว(1)วิธีเพิ่มมูลค่าให้สินค่าเพิ่มกำไรได้สารอาหารกระบวนการทำแสนง่าย<br /><dd> ข้าว(2)การทำไอศกรีมข้าวกล้องงอก สนใจข้อมูล โทร *1677 กด2<br /> <br />การทำไอศรีมข้าวกล้องงอก ที่การทำแสนง่ายสามารถเพิ่มเป็นรายได้เป็นอาชีพเพสริมภายในครัวเรือนได้<br /><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3hhVCqdbFGn-GuoDikZoFv8Qt94WSLlcHaIOGDrpB0X-bdQ1bFwcc3uFQLkx7HYB-83DqloiTYqbeHUY9E9GQPu3kfMZTJz1NVLKNANlbfuoJGXah38YHGVT3pDRZ8NjSFhp7Xv8E970/s1600-h/fr.jpg"><img style="display:block; margin:0px auto 10px; text-align:center;cursor:pointer; cursor:hand;width: 193px; height: 320px;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEh3hhVCqdbFGn-GuoDikZoFv8Qt94WSLlcHaIOGDrpB0X-bdQ1bFwcc3uFQLkx7HYB-83DqloiTYqbeHUY9E9GQPu3kfMZTJz1NVLKNANlbfuoJGXah38YHGVT3pDRZ8NjSFhp7Xv8E970/s320/fr.jpg" border="0" alt=""id="BLOGGER_PHOTO_ID_5431610944435388578" /></a><br /><br />ส่วนผสม<br /><span class="fullpost"><br />1.ข้าวกล้องงอก 2 ขีด (ต้มแล้วจะได้ 7 ขีด เพราะมีน้ำผสมไปด้วย)<br />2.นมข้น 3 กระป๋อง<br />3.นมผง 3 แก้ว<br />4.น้ำตาลทราย 2 ก.ก.<br />5.แป้งมัน 2 ขีด<br />6.น้ำที่จะต้มชั่งน้ำหนักพร้อมหม้อ 4.5 ก.ก.<br />7.มะพร้าวใต้ ยังไม่คั้น 4 ก.ก. คั้นแล้ว 3 ก.ก. (จะทำให้มันกว่ามะพร้าวอื่น)<br /><br />วิธีการทำ<br />1.ต้มน้ำเปล่าใส่น้ำตาล ต้มให้เดือด แล้วกวนให้น้ำตาลละลาย ลงพักไว้จนกว่าจะเย็น (หม้อเบอร์ 30 )<br />2.นำข้าวกล้อง นมข้น นมผง กะทิ คนให้แตกละเอียดจนละลายเป็นเนื้อเดียวกัน แล้วนำน้ำเปล่าและน้ำตาล (ตามข้อ 1) เทรวมลงไป แล้วเทแป้งมัน คนให้เข้ากันแล้วนำไปปั่น 30 นาที แล้วนำไปกรอง โดยใช้ผ้าขาวบางกรอง กากทิ้งไป น้ำที่ได้นำมาปั่นอีก 20 – 30 นาที ก็จะได้ไอศกรีม (หม้อเบอร์ 32 ) โดยนำไปใส่ถังไอศกรีมทั่วไปได้เลย<br /><br /><br />ที่มา : ศูนย์ทางด่วนข้อมูลการเกษตร * 1677<br />สถานีวิทยุร่วมด้วยช่วยกัน จ.พิษณุโลก ( idf : 61 )<br /><br /></span>Gang of 4wdhttp://www.blogger.com/profile/04473554374325150083noreply@blogger.com0